วันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ถ้าเป็นคนไทยควรงดทำนิสัยแบบนี้

มาช้า มาสาย !!
แหม อันนี้คงเป็นนิสัยยอดฮิตตลอดกาลที่อาจจะดูแก้ไขยาก มากๆ 5555+ เพราะชาวต่างชาติส่วนมากนั้นจะค่อนข้างตรง เวลามากๆ และถือว่าการมาตรงเวลาเป็นเรื่องสำคัญสุดๆ
แต่สำหรับคนไทยแล้ว ถ้านัด 10 โมงตรง โน่นค่ะ 9 โมง ครึ่งถึงจะได้ฤกษ์ตื่น 10 โมงถึงจะออกจากบ้าน สรุปกว่าจะไปถึง ก็ 11 โมงแล้ว จนเกิดเป็นคำยอดฮิตว่า Thai Time คือการที่ มักจะมาสายกว่าเวลานัดประมาณ 1 ชั่วโมงนั่นเอง ดังนั้นถ้าจะนัดกินข้าว นัดประชุม หรือนัดอะไรซักอย่างที่มีคน ไทยมาด้วย เค้าก็มักจะนัดกันก่อนเวลาจริง 1 ชั่วโมง เช่น ประชุม 9 โมง ควรนัดมาตั้งแต่ 8 โมง เพราะกว่าจะมาถึงก็ 9 โมงพอดี

ไม่กล้าแสดงความคิดเห็น
อันนี้เห็นได้ง่ายมากๆๆ ก็คือตามในห้องเรียนเลยค่ะ เวลาที่คุณครูเรียกให้นักเรียนตอบ เด็กไทยก็จะนั่งตาลอยทำเฉย ไม่ใส่ใจ ไม่ยกมือตอบ แตกต่างกับเด็กต่างชาติมากๆ เพราะเค้าจะยกมือแย่งกันตอบสุดๆ พร้อมจะแสดงความเห็นกันทุกเมื่อ รวมถึงเวลาที่ให้แสดงความเห็น คนไทยก็มักจะไม่แสดงความเห็น เป็นอันจบแค่นั้น แต่ชาวต่างชาตินี่ถึงแม้ไม่มีอะไรจะออกความเห็น เค้าก็จะพยายามหาจุดเล็กๆ ที่น่าสงสัยมาเป็นประเด็นในการคุยต่อเรื่อยๆ รวมไปถึงเวลามีปัญหาหรือข้อสงสัยอะไร คนไทยก็มักจะไม่(กล้า)ถาม แต่จะเก็บเอาไว้แล้วไปคิดเองเออเอง หรือแม้แต่บางคนที่เวลาโดนถาม ทั้งๆ ที่ตัวเองก็รู้คำตอบ แต่ก็ไม่ตอบ ไม่ใส่ใจ ไม่ยกมือตอบ ไม่ใช่เรื่องของฉัน ตอบไปแล้วได้อะไรล่ะ ?
ปากไม่ตรงกับใจ
ข้อนี้อาจจะคล้ายๆ กับการนินทาแต่ก็ไม่ใช่ซะทีเดียว ที่ว่าปากไม่ตรงกับใจก็คือว่า .... ชาวต่างชาติบางคนจะเป็นที่รู้กันว่า ถ้าคนไทยพูดว่า "ไม่เป็นไร" "ไม่มีอะไร" หรือบอกว่า "เปล่า" แสดงว่าต้องมีอะไรในใจแน่ๆ (ซึ่งก็จริง 555) โดยเฉพาะบางคนที่ปากบอกว่าไม่มีอะไร แต่เก็บเอาไปเม้าท์ลับหลัง เอาไปนินทาต่อ ก็อาจจะกลายเป็นเรื่องยาว ไม่จบไม่สิ้น และกลายเป็นความบาดหมางใจระหว่างเพื่อนชาติอื่นได้ ซึ่งจริงๆ แล้ว อาจจะเป็นเพราะว่าคนไทยอย่างเราๆ เป็นคนขี้เกรงใจ ไม่อยากจะพูดให้อีกฝ่ายเสียน้ำใจ เลยบอกปัดไปว่าไม่เป็นไร

วันเสาร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

11 วิธีพิชิต "โรคภูมิแพ้”

1. รักษาอาการของท่านด้วยตนเอง โดยหลีกเลี่ยงสารที่แพ้ให้มากที่สุด และเมื่อมีอาการมาก ท่านสามารถ เลือกใช้ยาแก้แพ้ที่มีขายทั่วไปด้วยตัวท่านเอง อย่างไรก็ตาม เมื่อใช้ยาดังกล่าวแล้ว อาการไม่ดีขึ้นภายใน 7 วัน ท่านควรจะปรึกษาแพทย์
2. ติดเครื่องปรับอากาศในบ้าน เครื่องปรับอากาศ จะทำให้อากาศมีความชื้นต่ำลง ซึ่งเป็นสภาวะที่ตัวไร และเชื้อราไม่ชอบ นอกจากนี้ ยังสามารถกรองฝุ่นได้บางส่วน โดยเฉพาะเครื่องปรับอากาศรุ่นใหม่ ที่รวมเอาเครื่องฟอกอากาศ เข้าไปด้วย รวมทั้งยังสามารถป้องกันเกสรดอกไม้ และเกสรหญ้าต่างๆที่มีอยู่ภายนอกบ้านได้อีกด้วย
3. ติดตั้งเครื่องฟอกอากาศโดยจะต้องเป็นเครื่องที่มีขนาดใหญ่เพียงพอกับขนาดของห้องและได้มาตรฐาน เครื่องฟอกอากาศที่ไม่ได้มาตรฐานในการกำจัดฝุ่น นอกจากจะไม่ช่วยลดจำนวนฝุ่นที่มีอยู่ในอากาศแล้ว อาจจะเป็นตัวที่ทำให้ฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่วห้องได้อีก ทำให้ผู้ป่วยมีอาการมากขึ้นไปอีก
4. เลือกใช้น้ำยาทำความสะอาดบริเวณที่อับชื้น ที่มีฤทธิ์ในการทำลายเชื้อราผสมอยู่ด้วย เช่น น้ำยาที่มีClorox เป็นส่วนผสม
5. ไม่ควรเลี้ยงสัตว์เลี้ยงในบ้าน ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็ควรจำกัดบริเวณของสัตว์เลี้ยง ไม่ให้เข้าไปในห้องนอนของผู้ป่วย จำไว้ว่าการให้สัตว์เลี้ยงของท่านเดินผ่านห้องนอนของท่านเพียงหนึ่งครั้ง จะมีสารก่อภูมิแพ้ในห้องของท่าน ในปริมาณเพียงพอที่จะทำให้ท่านมีอาการไปทั้งอาทิตย์
6. ใช้ผ้าปิดปากและจมูกทุกครั้ง เมื่อจำเป็นจะต้องทำความสะอาดบ้านด้วยตนเอง
7. ให้ผู้อื่นทำงานบ้านแทน หรือจ้างคนรับใช้ เพื่อทำความสะอาดบ้าน บางครั้งค่าจ้างทำความสะอาด อาจมีราคาต่ำกว่า ค่ารักษาที่ท่านต้องเสียไป
8. หลีกเลี่ยงการใช้พรมในบ้าน พรมเป็นบ้านหลังใหญ่ที่ตัวไร และเชื้อรา จะมาอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก แม้ว่าจะทำความสะอาดด้วยการนำมาซัก ก็ไม่สามารถกำจัดตัวไรให้หมดไปได้ เนื่องจากความร้อนที่ใช้ไม่สูงพอในการทำลายตัวไร ในทางตรงข้าม กลับจะทำให้พรมมีความชื้นมากขึ้น ถ้าทำให้แห้งไม่ดีพอ และทำให้มีตัวไรและเชื้อรามากขึ้นไปอีก

9. ใช้หมอนที่ทำจากวัสดุสังเคราะห์ แม้ว่าตัวไรจะสามารถอาศัยอยู่ในวัสดุสังเคราะห์ได้เช่นกัน แต่หมอนที่ทำจากวัสดุสังเคราะห์สามารถนำมาทำความสะอาดด้วยความร้อนที่มีอุณหภูมิที่สูงกว่าหมอนธรรมดา ทำให้สามารถทำลายตัวไรได้
10. ซักปลอกหมอนและผ้าปูที่นอนบ่อยๆในน้ำร้อน นอกจากหมอนแล้ว ตัวไรยังชอบ ที่จะอาศัยอยู่ในปลอกหมอนด้วยเช่นกัน
11. ทำห้องนอนให้เป็นเขตปลอดสารก่อภูมิแพ้ในกรณีที่ไม่สามารถทำให้ทั้งบ้านเป็นเขตปลอดสารก่อภูมิแพ้ได้ ทั้งนี้เนื่องจาก โดยทั่วไป คนเราจะใช้เวลาอยู่ในห้องนอนมากกว่าห้องอื่นๆ

อาหารปลาราชาแห่งโปรตีน


ไขมันต่ำและเป็นไขมันที่จำเป็นต่อร่างกายปลายังมีไขมันต่ำ มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวหรือที่เรียกว่า โอเมก้า3 ซึ่งเป็นไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย แต่เราไม่สามารถสร้างเองได้ นอกจากกรดไขมันโอเมก้า3ที่มีอยู่ในปลาช่วยป้องกันการสะสมตัวของไขมันอิ่มตัว หรือคลอเลสเตอรอล อันเป็นสาเหตุ ให้เส้นเลือดอุดตัน ซึ่งนำไปสู่โรคหัวใจ และเส้นเลือดในสมองแตกได้ กรดไขมันโอเมก้า 3 ยังมีประโยชน์ในด้านอื่นๆ อีกมากมาย เช่น
-•-ช่วยในการลดน้ำหนัก ในปี 1999 นักวิจัยออสเตรเลียพบว่า การบริโภคปลาที่มีโอเมก้า3 สูง เช่น ปลาทูน่า ปลาแซลมอล จะช่วยให้การลดน้ำหนักได้ผลดียิ่งขึ้น
-•-บำรุงสมอง ผลวิจัยจากสหรัฐอเมริกาพบว่า กรดไขมันดีเอชเอ (DHA) ในโอเมก้า3 มีส่วนสำคัญในการพัฒนาสมอง โดยเฉพาะในส่วนของความจำและการเรียนรู้
-•-ช่วยลดความเครียด Archives of General Psychiatry ได้รายงานการวิจัย เกี่ยวกับน้ำมันปลา ว่าสามารถลดความเครียดในผู้ป่วยโรคประสาท ที่มักจะอาละวาด ทำให้มีอารมณ์ที่เยือกเย็นลงได้
-•-บรรเทาอาการซึมเศร้า การศึกษาของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดพบว่า การขาดโอเมก้า3 ซึ่งเป็นกรดไขมันที่จำเป็นต่อสมอง อาจเป็นสาเหตุทำให้คนมีอาการซึมเศร้า สมาธิสั้น และขาดความสามารถในการอ่านหนังสือได้
-•-บรรเทาอาการของโรคไขข้ออักเสบ จากการวิจัยในช่วง10 ปีที่ผ่านมา พบว่า น้ำมันปลาช่วยบรรเทาอาการ ของผู้ป่วยโรคไขข้ออักเสบ จนสามารถลดการใช้ยาบางส่วนลงได้
-•-ลดการอักเสบของโรคผิวหนัง การศึกษาวิจัยระบุว่า การกินปลาที่มีไขมันมาก จะช่วยบรรเทาอาการของโรคผิวหนัง อย่างสะเก็ดเงิน (เรื้อนกวาง) เพราะปลามีวิตามินดีจากกรดไขมันโอเมก้า 3 ในปริมาณที่มากนั่นเอง
-•-ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ จากการวิจัยในปี 1998พบว่า การบริโภคปลาอย่างน้อย สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง จะช่วยลดความดันโลหิต ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงให้เกิดโรคหัวใจลงได้ นอกจากนั้น จากการวิจัยของมหาวิทยาลัยโอเรกอนยังระบุว่า ในไขมันปลามีกรดไขมันอีพีเอ (EPA) ซึ่งเป็นกรดไขมันในกลุ่มโอเมก้า3ยังช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอลในเลือด และลดระดับไตรกลีเซอไรด์ลงได้ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญ ของโรคหลอดเลือดหัวใจด้วยเช่นกัน

7 วิธีประสบความสำเร็จในทุกเรื่อง

1. เริ่มจากพื้นฐานง่ายๆ ก่อน ถามตั้งให้แน่ใจก่อนว่า จะทำอะไร ต้องความพยายามตั้งเป้าหมาย และความตั้งใจแน่วแน่กับอะไรก็ตามที่ต้องการทำให้สำเร็จเป็นอันดับแรก
2. ความสำเร็จอาจไม่ได้มาในครั้งเดียวที่ทำ อาจต้องทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า ล้มบ้าง ก็ไม่เป็นไร ให้ใช้ความล้มเหลวมาเรียนรู้เป็นประสบการณ์ ในเพื่อป้องกันความผิดพลาดซ้ำครั้งต่อๆ ไป
3. ไม่มีใครสามารถอยู่คนเดียวได้ การขอความช่วยเหลือหรือคำแนะนำจากคนอื่นๆ บ้างก็ไม่เป็นไร ถ้ามันจะทำให้เราพัฒนาขึ้น
4. ทำให้ดีที่สุด อย่ายอมแพ้ก่อนเป็นอันขาด เพราะทุกครั้งที่เรายอมแพ้ นั่นหมายถึงว่าเราต้องนับหนึ่งใหม่ในครั้งต่อไป
5. รอบตัวเรามีคนที่ทำอะไรที่ประสบความสำเร็จมากมาย เมื่อเราอยู่ใกล้คนที่พลังหรือความตั้งใจสูงอย่างนั้น หรือใช้คนเหล่านั้นเป็นต้นแบบ มันช่วยเป็นแรงผลักดันตัวเราเองและเป็นกำลังใจให้เราได้
6. วางแผน เพราะความสำเร็จที่แท้จริงไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคน ควบคุมการใช้ชีวิตของตัวเองอย่างเป็นระบบ และทำตามเป้าหมายของตัวเอง ใช้ตัวเองเป็นมาตรฐาน อย่าไปเปรียบเทียบกับคนอื่น เพราะคำว่า ความสำเร็จของแต่ละคนนั่นไม่เหมือนกัน
7. รับรู้ รับฟัง เรียนรู้และเข้าใจสิ่งต่างๆ เพราะความรู้คือพลังที่จะทำให้คุณประสบความสำเร็จ