วันศุกร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2553

น้ำชา "tea time" ?


ชนชั้นแรงงานในชนบทของประเทศอังกฤษเลิกงานราวหกโมงเย็น แล้วจึงรับประทานอาหารมื้อใหญ่ของวัน โดยทั่วไปอาหารมื้อใหญ่ประกอบด้วยเนื้อที่ปรุงจนเปื่อยเหลว ใช้ทาบนขนมปัง ซึ่งเรียกกันว่า potted meat (แน่นอนพวกเขาไม่มี เงินมากพอจะกินสเต็กชิ้นโต) นอกจากเนื้อ ก็มีปลา เนยแข็ง สลัด ของหวาน และที่ขาดไม่ได้ก็คือ ชา อาหารในลักษณะนี้แหละที่เรียกกันว่า "high tea"


ส่วน "low tea" ซึ่งยังคงดำรงอยู่ทุกวันนี้ในฐานะเป็นเวลาน้ำชาตามธรรมเนียมของคนอังกฤษ คือ เวลาบ่ายสี่โมง ดัชเชสแห่งเบดฟอร์ดได้รับเครดิตว่าเป็นผู้ริเริ่มธรรมเนียมปฏิบัตินี้เป็นคนแรก ในราวปี ค.ศ. ๑๘๔๐ หรือเมื่อกว่า ๑๖๐ ปีมาแล้วท่านดัชเชสได้เริ่มรับประทานน้ำชากับของว่างเบา ๆ ตอนบ่ายสี่โมงเพื่อขับไล่ "ความรู้สึกโหย" ที่คนมักจะเป็นในช่วงบ่ายแก่ ๆ และเนื่องจากพวกชนชั้นสูงรับประทานอาหารมื้อค่ำดึกมาก

ธรรมเนียมปฏิบัติของดัชเชสแห่งเบดฟอร์ดจึงนิยมแพร่หลายไปทั่วประเทศอังกฤษ และได้กลายเป็นหนึ่งในจำนวนธรรมเนียม "ศักดิ์สิทธิ์" ที่สุดของชาวอังกฤษ


โดยข้อเท็จจริงชาวไอริชเป็นผู้บริโภคน้ำชารายใหญ่ที่สุด แซงหน้าชาวอังกฤษเสียด้วยซ้ำ ที่น่าประหลาดใจคือชาวกาตาร์นิยมดื่มชากันมากเป็นอันดับสาม รองลงมาคือ ชาวตุรกี ฮ่องกง และอิหร่านตามลำดับ

วันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

9 นิสัยคุมน้ำหนักเพื่อสุขภาพ

9 วิธีง่ายๆ ที่บรรดาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการหลายคน แนะนำเกี่ยวกับเรื่องการควบคุมอาหาร และความเครียดเพื่อให้การลดน้ำหนักของคุณได้ผลอย่างแท้จริง และยั่งยืนมีอะไรบ้าง

1. ความเครียด หากคิดจะลดความอ้วนต้องข่มใจไว้อย่าให้เกิดภาวะเครียดขึ้น เพราะเมื่อเราเครียดทั้งจากเครียดทางร่างกาย เช่น ทำงานหนัก พักผ่อนไม่เพียงพอ รวมไปถึงเครียดจากสภาวะอารมณ์ของตัวเอง ร่างกายจะผลิตฮอร์โมน (Hormone) ที่ชื่อว่า “Cortisol” เพื่อมารับมือกับความเครียด (บางตำราจึงตั้งชื่อให้ว่า ฮอร์โมนเครียด”) ซึ่งผลจากการผลิตฮอร์โมน Cortisol นี้ จะส่งผลให้ระบบในร่างกายเพิ่มการไหลเวียนของกลูโคส โปรตีน และไขมัน รวมถึงส่งสัญญาณไปยังสมองเพื่อกระตุ้นร่างกายให้หิว จึงเป็นเหตุผลที่ว่าผู้ต้องการลดความอ้วนไม่ควรที่จะเครียด

ด้านนายแพทย์ Jacob Seidel แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ จากเมืองBilthon ประเทศเนเธอร์แลนด์ ให้คำแนะนำกับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก แต่มักมีภาวะเครียดว่า หากรู้สึกเครียดหรือหงุดหงิดใจ ให้ฝึกสมาธิโดยการหายใจเข้าลึกๆ แล้วค่อยผ่อนออกสัก 5-10 นาที ก็จะช่วยบรรเทาสภาวะความเครียดได้ หรือแม้ไม่เครียดแต่อยากผ่อนคลายความเครียดให้กับตัวเอง ก็ฝึกสมาธิด้วยการหายใจอย่างนี้สักวันละ 5-10 นาที ก็จะทำให้สุขภาพกายสุขภาพจิตดีขึ้นได้

2. หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลล์ การดื่มไวน์หรือเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอลล์ (Alcohol) หลังอาหารมื้อเย็น เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้จู่ๆ กางเกงยีนส์ตัวโปรดของคุณที่ใส่เป็นประจำ..คับไปซะอย่างนั้น เพราะแอลกอฮอล์ลจะเข้าไปกระตุ้นให้ร่างกายเพิ่มระดับ ฮอร์โมนเครียด “Cortisol” มีสูงขึ้น จนส่งผลให้คุณหิวง่าย และเกิดภาวะอ้วนนั่นเอง หมอ Seidel แนะนำ

3. หยุดสูบบุหรี่ หมอ Seidel ระบุ..แม้จะไม่มีรายงานการวิจัยที่ชัดเจนว่า คนที่สูบบุหรี่จะอ้วนกว่าคนที่ไม่สูบบุหรี่ แต่บ่อยครั้งมีการพบว่า เมื่อผู้สูบบุหรี่หยุดหรือลดการสูบบุหรี่ลง ไขมันที่หน้าท้องของเขาจะเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังพบว่าการสูบบุหรี่ยังทำให้ร่างกายเกิดภาวะเครียด และกระตุ้นการผลิตฮอร์โมน Cortisol ด้วย

4. กินอาหารที่มีเส้นใย การกินอาหารที่มีเส้นใยสูง (fiber)ไม่ใช่แค่ทำให้ ควบคุมหรือลดน้ำหนักได้เท่านั้น แต่ยังช่วยในเรื่องระบบขับถ่ายให้เป็นปกติ ลดอาการท้องผูกได้ด้วย J. Cheskin ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมน้ำหนัก จากมหาวิทยาลัย Johns Hopkins ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้แนะนำว่า ร่างกายควรได้รับปริมาณเส้นใยอาหารจากธัญพืช ผลไม้และผัก ประมาณ 22-25 กรัมต่อวัน

5. ดื่มน้ำมากๆ การควบคุมน้ำหนักควรดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย อย่าปล่อยให้กระหายหรือร่างกายขาดน้ำอย่างเด็ดขาด ดังนั้นความเชื่อที่ว่า การดื่มน้ำจะทำให้ตัวพองอ้วน จึงเป็นความเชื่อที่ผิด

6. รักษากระดูกให้แข็งแรง สำหรับเรื่องนี้ Willibald Nagler อดีตหัวหน้านักโชนาการจากโรงพยาบาล New York Hospital-Cornell Medical Center ประเทศสหรัฐอเมริกา แนะนำว่า คนที่ลดความอ้วนอาจมีปัจจัยเสี่ยงที่เกิดมาจากควบคุมอาหาร ที่ทำให้ในอนาคตอาจเกิดภาวะกระดูกพรุน กระดูกหัก และแตกได้ง่าย ดังนั้นจึงควรดูแลร่างกายให้ได้รับแคลเซียม (Calcium) ให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย โดยการรับประทานอาหารที่มีแคลเซียม เช่น ผัก นม หรือกินอาหารเสริมแคลเซียม เช่น แคลเซียมชนิดเม็ด

7. ทำหัวใจให้แข็งแรง การออกกำลังกายเพื่อกระตุ้นให้หัวใจแข็งแรง โดยวิธีการบริหารกล้ามเนื้อหัวใจที่ดีที่สุด ก็คือ การออกกำลังกายด้วยการเต้นแอโรบิค (aerobic) 45-60 นาทีต่อสัปดาห์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกกำลังกายหลายคนจึงแนะนำให้คนเคยอ้วน ที่ส่วนใหญ่มักมีปัญหาด้านหัวใจ เช่น เหนื่อยง่าย หัวใจเต้นผิดปกติ ออกกำลังกายด้วยแอโรบิค

8. ฝึกการหายใจ ควรฝึกหายใจให้ถูกหลักการวิธีง่ายๆ คือ เมื่อหายใจเข้าท้อง พุงจะต้องป่อง และจะยุบเมื่อเราหายใจออก หากใครยังไม่ชิน มีเวลาว่างก็ควรฝึกฝนไปเรื่อยๆ จนร่างกายชินและทำได้โดยอัตโนมัติ เพราะการหายใจที่ถูกวิธีถือเป็นการช่วยเพิ่มปริมาณออกซิเจนให้แก่เลือด เลือดดีจึงสามารถเข้าไปเลี้ยงกล้ามเนื้อได้ดี และยิ่งกล้ามเนื้อดีเท่าไร ระบบเผาผลาญไขมันของเราจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นเท่านั้น การหายใจถูกวิธีจึงถือเป็นการช่วยลดความอ้วนได้อีกทางหนึ่ง

9. ให้รางวัลพิเศษกับตัวเอง การให้โบนัส (bonus) กับตัวเองที่สามารถลดความอ้วนได้ ไม่ใช่การกินทุกอย่างตามใจตัวเอง หลังอดอยากปากแห้งกับการลดน้ำหนักมานานหรอกนะ แต่ควรให้โบนัสโดยการควบคุมน้ำหนัก, สัดส่วน และความสมดุลของร่างกายไว้ให้คงที่ รวมถึงการหมั่นฝึกบุคลิกภาพของตัวเองให้ดูดีอยู่เสมอ เช่น นั่งตัวตรง ยืน หรือเดินหลังตรง สง่าผ่าเผย เพราะไม่ใช่แค่การมีรูปร่างผอมเพรียว แล้วจะดูดีไปเสียทุกอย่าง คนผอมหุ่นเฟอร์เฟค (perfect) แต่บุคลิกไม่ดี ก็คงไม่ไหว

วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

กินของหวาน อย่างไรไม่อ้วน

สาวๆ หลายคนชอบกินขนมเป็นชีวิตจิตใจ แต่จะกินอย่างไรถึงจะรักษารูปร่างได้เพรียวสวย เรามีเคล็ดวิธีเลือกกินของหวาน ด้วยเคล็ดลับง่ายๆ ที่สามารถทำได้ไม่ยากมาบอกต่อค่ะ

รู้ปริมาณแคลอรี ก่อนกินควรอ่านปริมาณแคลอรีในขนม โดยดูจากฉลากแสดงข้อมูลโภชนาการข้างกล่อง หากเป็นไปได้ควรเลือกกินหรือซื้อชนิดที่มีไขมันเป็นส่วนประกอบน้อยที่สุด

ลดแคลอรี การตัดน้ำตาล ครีม ออกจากขนมก่อนกิน เช่น เกลี่ยน้ำตาลไอซิ่งที่โรยหน้าขนมปังออก หรือไม่ใส่กะทิในขนมหวาน จะลดพลังงานได้ถึง 81- 150 แคลอรี หรือเกลี่ยครีมหน้าขนมเค้กออก ลดพลังงานได้ถึง 160 แคลอรี

ควบคุมสัดส่วนการกิน กินอย่างละนิดพอให้รู้รสชาติ เช่น คุกกี้ 1-2 ชิ้น เค้ก 1 ส่วน 4/ชิ้นเล็ก ไอศกรีม 1 ลูก คุณจะได้ชิมรสขนมทั้งหมดโดยได้แคลอรีเพียงครึ่งเดียว

ดื่มชาเขียวหรือกาแฟร้อนหลังมื้อขนม กาเฟอีนจะช่วยกระตุ้นการเผาผลาญพลังงาน หากต้องการเพิ่มรสชาติให้ใส่น้ำตาลเทียมแทน

15 นาที หลังกินขนมหวานเสร็จอย่านั่งอยู่กับที่ ออกไปเดินเล่นรอบบ้านๆ ประมาณ 15 นาที วิธีนี้นอกจากจะช่วยย่อยแล้ว ยังป้องกันไม่ให้ไขมันสะสมที่หน้าท้อง ต้นขา และสะโพกได้อีกด้วย

30 นาที หลังกินของหวาน 5 ชั่วโมง ควรออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาที เพื่อกำจัดแป้งและน้ำตาลก่อนกลายเป็นไขมันสะสมตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยก่อนและหลังออกกำลังกายควรดื่มชาเขียวร้อนหรือน้ำอุ่นเพื่อเสริมระบบเผา ผลาญควบคู่ไปด้วย

งดแป้งและน้ำตาลในวันรุ่งขึ้น มื้อเช้าและกลางวันเน้นผัก 80% โปรตีน 20% ส่วนมื้อเย็นให้กินผักผลไม้สดและดื่มน้ำเปล่าทั้งวัน

วันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ประโยชน์ของผักบุ้ง


ใครอยากมีสายตาดี อยากถนอมสายตาไว้ใช้ชั่วชีวิต สิ่งสำคัญคือต้องบำรุงรักษา กินอาหารที่ช่วยในการบำรุงสายตาอย่างสม่ำเสมอ และหลีกเลี่ยงปัจจัยที่จะทำให้ดวงตาเสื่อมก่อนวัย เช่น แสงแดด ลม คอมพิวเตอร์ การดูทีวีนานๆ การใช้สายตาในช่วงที่แสงไม่เพียงพอ สิ่งเหล่านี้ล้วนเอื้อให้เกิดปัญหากับสายตาทั้ง

สำหรับอาหารสมุนไพรที่ขึ้นชื่อในการบำรุงสายตา คือ ผักบุ้ง เป็นผักที่มีวิตามินเอสูง ช่วย

ในการบำรุงสายตา แม้จะมีผักตัวอื่นๆ ที่มีวิตามินเอเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้รับการระบุว่าเป็นผักบำรุงสายตาอย่างผักบุ้งเลย คนโบราณแนะลูกหลานกินผักบุ้งตาหวาน แม้ว่าจะไม่รู้ว่าผักบุ้งมีวิตามินเอที่มีประโยชน์ต่อสายตาก็ตามแต่ ผักบุ้งจึงได้ชื่อว่าเป็นผักที่เป็นมิตรกับสายตา สรรพคุณระบุว่า แก้ตาฟางหรือตาบอดกลางคืนได้ดี ช่วยให้หายแสบตาจากอาการตาแห้ง และลดอาการปวดกระบอกตาในกรณีที่ใช้สายตาเยอะๆ ถ้าช่วงนี้ใครที่รู้สึกว่าปวดตา ใช้สายตาเยอะ ตาแห้ง และค่อนข้างล้า ลองกินผักบุ้งเยอะๆ แล้วจะพบว่ามันช่วยได้จริงๆ

การกินผักบุ้งไม่ว่าจะผักบุ้งไทย ผักบุ้งจีน ล้วนแต่มีประโยชน์ต่อการบำรุงสายตาทั้งสิ้น ถ้าใครที่กินผักบุ้งมาตั้งแต่เด็กๆ จนอายุมากขึ้นก็จะยังคงมีสายตาดี ไม่มีปัญหาเรื่องสายตายาว และเชื่อว่ากินประจำยังช่วยป้องกันต้อกระจกได้ด้วย ดังนั้น ผู้ปกครอง คุณพ่อ คุณแม่ ควรให้ลูกได้กินผักบุ้งเยอะๆ หรืออย่างสม่ำเสมอ ให้ได้รับสารบำรุงสายตาตั้งแต่เด็กๆ เป็นการบำรุงอย่างสะสมทรัพย์ จะเป็นการช่วยให้ลูกหลานมีสายตาดีจนชั่วชีวิตของพวกเขา

ในทางโภชนาการผักบุ้งยังมีสารสำคัญอื่นๆ นอกเหนือจากวิตามินเอที่เป็นประโยชน์ต่อร่าง

กาย อาทิ แคลเซียม วิตามินซี เส้นใยอาหาร คาร์โบไฮเดรต เหล็ก ฟอสฟอรัส มากน้อยแตกต่างกันไป
ในทางการแพทย์แผนไทย ระบุว่า ผักบุ้งมีรสเย็น มีสรรพคุณถอนพิษสำแดงต่างๆ หรือช่วยในการขับสารพิษอออกจากร่างกายได้ หมอแผนไทยบางท่านแนะให้นำมาใช้ในการขับพิษสำหรับเกษตรกรที่ใช้สารเคมีทางการเกษตร ซึ่งจะได้รับสารพิษอันตราย หรือใช้ในการบำบัดรักษาผู้ป่วยติดยาเสพติด ในกรณีนี้อาจใช้กับตัวยาอื่นๆ ตามตำรับของหมอแต่ละคนเพื่อช่วยขับพิษและฤทธิ์ของยาเสพติด หรือในกรณีที่กินสารพิษ กินเห็ดพิษ ร่างกายได้รับสารตะกั่ว สารหนู โดยแนะให้เอาผักบุ้งแดงต้มเอาน้ำดื่มเป็นประจำ

สรรพคุณของผักบุ้งช่วยในการขับสารพิษออกจากร่างกาย โดยเฉพาะผักบุ้งแดง ที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยกินกันเพราะมีรสเฝื่อน จึงนิยมนำไปกินกับส้มตำมะละกอ คนในเมืองที่ชีวิตต้องเผชิญกับมลพิษในอากาศ อาหาร ลองเอาผักบุ้งแดงมาทำเป็นชาไว้ดื่มเพื่อช่วยขับสารพิษจากร่างกายก็น่าจะเหมาะไม่น้อย หรือใช้ผักบุ้งต้มอาบ หรืออบร่วมกับสมุนไพรตัวๆ ก็จะช่วยขับพิษออกทางรูขุมขน

ส่วนกรณีที่ใครท้องผูกเป็นประจำขับถ่ายไม่ออก แนะให้กินผักบุ้งสดหรือผักบุ้งลวก จิ้มกับน้ำ

พริกในมื้อเย็น ส่วนน้ำต้มผักก็สามารถใช้ดื่มได้ ผักบุ้งจะช่วยให้อุจจาระนิ่ม และช่วยขับของเสียพร้อมดูดซับเอาของเสียนั้นออกมาพร้อมในกระบวนการขับถ่ายด้วย กินผักบุ้งเป็นประจำจะช่วยปัดกวาดทำความสะอาดเอาของเสียที่ตกค้างในลำไส้ออกมาด้วย ช่วยให้การดูดซึมอาหารดีขึ้น
สรรพคุณส่วนต่างๆ ของผักบุ้ง คือ ราก ใช้ถอนพิษ แก้ผิดสำแดง แก้โรคตา แก้ตกขาวใน

สตรี แก้ปวดฟันเนื่องจากฟันเป็นรู แก้ไอเรื้อรัง แก้เหงื่อออกมาก แก้บวม แก้พิษงูเห่า เถา ถอนพิษ แก้พาเบื่อเมา ถอนพิษยาทั้งปวง แก้ตาฟาง แก้โรคตา ยอดอ่อน ถอนพิษ รักษาริดสีดวงทวาร แก้เด็กเป็นหวัด ใบ แก้พิษขนของบุ้ง รักษาริดสีดวงทวาร ถอนพิษยาเบื่อเมา แก้ตาฟาง แก้พิษฝี ปวด อักเสบ ดอกตูม รักษากลากเกลื้อน ทั้งต้น รักษาตาแดง รักษาตาฟาง รักษาตามัว แก้เบาหวาน แก้ปวดศีรษะ แก้ผิวหนังผื่นคัน แก้กลากเกลื้อน เป็นยาระบาย แก้ไข้ แก้โรคนอนไม่หลับ ถอนพิษ แก้พิษเบื่อเมา
ตัวอย่างในการใช้ผักบุ้งรักษาโรคต่างๆ ได้แก่

- แก้เลือดกำเดาออกมากผิดปกติ ใช้ต้นสดตำผสมน้ำตาลทรายชงน้ำร้อนดื่ม

- แก้หนองใน ปัสสาวะเป็นเลือด ถ่ายเป็นเลือด ใช้ลำต้นตำคั้นนำน้ำมาผสมกับน้ำผึ้งดื่ม

- แก้ริดสีดวงทวาร ใช้ต้นสด 1 กิโลกรัม กับน้ำ 1 ลิตร ต้มให้เละ เอากากทิ้งใส่น้ำตาลทรายขาว 120 กรัม เคี่ยวให้ข้นเหนียว ทานครั้งละ 90 กรัม วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น จนหาย

- แก้แผลมีหนองช้ำ ใช้ต้นสดต้มน้ำให้เดือดนานๆ ทิ้งไว้พออุ่นเอาน้ำล้างแผลวันละครั้ง

- แก้พิษตะขาบกัด ใช้ต้นสดเติมเกลือ ตำพอกแผล

- ฟันเป็นรูปวด ใช้รากสด 120 กรัม ผสมน้ำส้มสายชู คั้นนำน้ำอมบ้วนปาก

ผักบุ้งยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายอีกเยอะแยะมากมาย ราคาก็ถูก ตามตลาดส่วนใหญ่ขายกำละ 5 บาท หรือบางบ้านก็ปลูกไว้กินเอง บางแห่งขึ้นเกลื่อนตามห้วยหนองคลองบึงต่างๆ หรือที่ว่างเปล่า โดยเฉพาะหน้าหนาวผักบุ้งแดงตามทุ่งนาออกดอกสีม่วงสีขาวท้าลมหนาว อย่างไม่รู้หนาวเหน็บ ลองนำผักบุ้งมาทำเครื่องดื่ม โดยเอาผักบุ้งมาปั่นรวมกับผักอื่นๆ เช่น บัวบก ตำลึง ย่านาง หญ้าปักกิ่ง กรองเอาแต่น้ำ ปรุงแต่งรสด้วยน้ำมะพร้าวอ่อน หรือน้ำอ้อย รสชาติอร่อยและมีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างยิ่ง อาหารมื้อต่อไปอย่าลืมให้โอกาสผักบุ้งได้ทำหน้าที่ของผักที่ดีต่อสุขภาพของท่านด้วย.

Yogurt มีประโยชน์มาก


อย่าไปคิดว่าโยเกิร์ตเป็นสิ่งสำหรับสาวๆ เพราะหนุ่มๆ จะพลาดประโยชน์มากมายในโยเกิร์ต มันมากขนาดที่คุณนึกไม่ถึงเลยล่ะเลยอยากให้หนุ่มมีไว้ในร่างกาย อยากรู้ว่ากินแล้วได้อะไรบ้าง ก็ตามมาเลย
โยเกิร์ตเป็นอาหารที่กินง่าย บางอันมีรสชาติอร่อยเหมือนกับการกินของหวานเลยทีเดียว ยังสามารถกินได้ตลอดเวลา แต่ช่วงเช้ายามท้องว่างๆ จะดีมาก
เมื่อกินโยเกิร์ตเข้าไปจะช่วยลดปริมาณสารที่ทำให้เกิดกลิ่นปาก เช่น ไฮโดรเจนซัลไฟด์ การเดินทางของโยเกิร์ตยังเดินทางลงไปตามทางเดินอาหาร จุลินทรีย์ในโยเกิร์ตจะเข้าไปจัดการกับเชื้อจุลินทรีย์อื่นที่อยู่ในลำไส้ ช่วยบรรเทาอาการท้องเสียได้
ช่วยด้านภูมิคุ้มกันในร่างกายโดย ช่วยกระตุ้นการสร้างสารแอนติบอดี้และเพิ่มปริมาณสารอินเฟอร์รอน ซึ่งเป็นสารเคมีที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อต่อสู้กับเชื้อโรค เป็นแหล่งวิตามิน บี1 แบคทีเรียในโยเกิร์ตยังช่วยสังเคราะห์วิตามิน บีและวิตามิน เค ในลำไส้ด้วย
โยเกิร์ตให้โปรตีนและแคลเซียมสูงกว่านมธรรมดา เพราะลำไส้ของเราย่อยนมไม่ได้ แต่โยเกิร์ตมีกรดแลกติกที่จะช่วยย่อยแคลเซียมให้เล็กลง ทำให้ร่างกายดูดซึมไปใช้ได้ สำหรับหนุ่มที่ดื่มนมวัวแล้วท้องเสีย แบบพี่มิ้ง ลองหันมากินโยเกิร์ตก็ได้ เพราะน้ำตาลแลคโตสที่ทำให้เราวิ่งเข้าห้องน้ำเนี่ย จะถูกเปลี่ยนเป็นกรดแลคติกที่ทำให้ร่างกายดูดซึมได้ง่ายและช่วยเรื่องระบบเผาผลาญอีกแหนะ
ไม่น่าเชื่อเลย แอบไม่กล้าซื้อกินอยู่นานที่ไหนได้มีประโยชน์ไม่เบานะเนี่ย ลองซื้อมากินบ้างเพื่อให้ธรรมชาติได้เข้าไปจัดการระบบร่างกายให้เข้าที่เข้าทางหนุ่มจะได้แข็งแรงสมบูรณ์ครับ

วันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ถ้าเป็นคนไทยควรงดทำนิสัยแบบนี้

มาช้า มาสาย !!
แหม อันนี้คงเป็นนิสัยยอดฮิตตลอดกาลที่อาจจะดูแก้ไขยาก มากๆ 5555+ เพราะชาวต่างชาติส่วนมากนั้นจะค่อนข้างตรง เวลามากๆ และถือว่าการมาตรงเวลาเป็นเรื่องสำคัญสุดๆ
แต่สำหรับคนไทยแล้ว ถ้านัด 10 โมงตรง โน่นค่ะ 9 โมง ครึ่งถึงจะได้ฤกษ์ตื่น 10 โมงถึงจะออกจากบ้าน สรุปกว่าจะไปถึง ก็ 11 โมงแล้ว จนเกิดเป็นคำยอดฮิตว่า Thai Time คือการที่ มักจะมาสายกว่าเวลานัดประมาณ 1 ชั่วโมงนั่นเอง ดังนั้นถ้าจะนัดกินข้าว นัดประชุม หรือนัดอะไรซักอย่างที่มีคน ไทยมาด้วย เค้าก็มักจะนัดกันก่อนเวลาจริง 1 ชั่วโมง เช่น ประชุม 9 โมง ควรนัดมาตั้งแต่ 8 โมง เพราะกว่าจะมาถึงก็ 9 โมงพอดี

ไม่กล้าแสดงความคิดเห็น
อันนี้เห็นได้ง่ายมากๆๆ ก็คือตามในห้องเรียนเลยค่ะ เวลาที่คุณครูเรียกให้นักเรียนตอบ เด็กไทยก็จะนั่งตาลอยทำเฉย ไม่ใส่ใจ ไม่ยกมือตอบ แตกต่างกับเด็กต่างชาติมากๆ เพราะเค้าจะยกมือแย่งกันตอบสุดๆ พร้อมจะแสดงความเห็นกันทุกเมื่อ รวมถึงเวลาที่ให้แสดงความเห็น คนไทยก็มักจะไม่แสดงความเห็น เป็นอันจบแค่นั้น แต่ชาวต่างชาตินี่ถึงแม้ไม่มีอะไรจะออกความเห็น เค้าก็จะพยายามหาจุดเล็กๆ ที่น่าสงสัยมาเป็นประเด็นในการคุยต่อเรื่อยๆ รวมไปถึงเวลามีปัญหาหรือข้อสงสัยอะไร คนไทยก็มักจะไม่(กล้า)ถาม แต่จะเก็บเอาไว้แล้วไปคิดเองเออเอง หรือแม้แต่บางคนที่เวลาโดนถาม ทั้งๆ ที่ตัวเองก็รู้คำตอบ แต่ก็ไม่ตอบ ไม่ใส่ใจ ไม่ยกมือตอบ ไม่ใช่เรื่องของฉัน ตอบไปแล้วได้อะไรล่ะ ?
ปากไม่ตรงกับใจ
ข้อนี้อาจจะคล้ายๆ กับการนินทาแต่ก็ไม่ใช่ซะทีเดียว ที่ว่าปากไม่ตรงกับใจก็คือว่า .... ชาวต่างชาติบางคนจะเป็นที่รู้กันว่า ถ้าคนไทยพูดว่า "ไม่เป็นไร" "ไม่มีอะไร" หรือบอกว่า "เปล่า" แสดงว่าต้องมีอะไรในใจแน่ๆ (ซึ่งก็จริง 555) โดยเฉพาะบางคนที่ปากบอกว่าไม่มีอะไร แต่เก็บเอาไปเม้าท์ลับหลัง เอาไปนินทาต่อ ก็อาจจะกลายเป็นเรื่องยาว ไม่จบไม่สิ้น และกลายเป็นความบาดหมางใจระหว่างเพื่อนชาติอื่นได้ ซึ่งจริงๆ แล้ว อาจจะเป็นเพราะว่าคนไทยอย่างเราๆ เป็นคนขี้เกรงใจ ไม่อยากจะพูดให้อีกฝ่ายเสียน้ำใจ เลยบอกปัดไปว่าไม่เป็นไร

วันเสาร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

11 วิธีพิชิต "โรคภูมิแพ้”

1. รักษาอาการของท่านด้วยตนเอง โดยหลีกเลี่ยงสารที่แพ้ให้มากที่สุด และเมื่อมีอาการมาก ท่านสามารถ เลือกใช้ยาแก้แพ้ที่มีขายทั่วไปด้วยตัวท่านเอง อย่างไรก็ตาม เมื่อใช้ยาดังกล่าวแล้ว อาการไม่ดีขึ้นภายใน 7 วัน ท่านควรจะปรึกษาแพทย์
2. ติดเครื่องปรับอากาศในบ้าน เครื่องปรับอากาศ จะทำให้อากาศมีความชื้นต่ำลง ซึ่งเป็นสภาวะที่ตัวไร และเชื้อราไม่ชอบ นอกจากนี้ ยังสามารถกรองฝุ่นได้บางส่วน โดยเฉพาะเครื่องปรับอากาศรุ่นใหม่ ที่รวมเอาเครื่องฟอกอากาศ เข้าไปด้วย รวมทั้งยังสามารถป้องกันเกสรดอกไม้ และเกสรหญ้าต่างๆที่มีอยู่ภายนอกบ้านได้อีกด้วย
3. ติดตั้งเครื่องฟอกอากาศโดยจะต้องเป็นเครื่องที่มีขนาดใหญ่เพียงพอกับขนาดของห้องและได้มาตรฐาน เครื่องฟอกอากาศที่ไม่ได้มาตรฐานในการกำจัดฝุ่น นอกจากจะไม่ช่วยลดจำนวนฝุ่นที่มีอยู่ในอากาศแล้ว อาจจะเป็นตัวที่ทำให้ฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่วห้องได้อีก ทำให้ผู้ป่วยมีอาการมากขึ้นไปอีก
4. เลือกใช้น้ำยาทำความสะอาดบริเวณที่อับชื้น ที่มีฤทธิ์ในการทำลายเชื้อราผสมอยู่ด้วย เช่น น้ำยาที่มีClorox เป็นส่วนผสม
5. ไม่ควรเลี้ยงสัตว์เลี้ยงในบ้าน ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็ควรจำกัดบริเวณของสัตว์เลี้ยง ไม่ให้เข้าไปในห้องนอนของผู้ป่วย จำไว้ว่าการให้สัตว์เลี้ยงของท่านเดินผ่านห้องนอนของท่านเพียงหนึ่งครั้ง จะมีสารก่อภูมิแพ้ในห้องของท่าน ในปริมาณเพียงพอที่จะทำให้ท่านมีอาการไปทั้งอาทิตย์
6. ใช้ผ้าปิดปากและจมูกทุกครั้ง เมื่อจำเป็นจะต้องทำความสะอาดบ้านด้วยตนเอง
7. ให้ผู้อื่นทำงานบ้านแทน หรือจ้างคนรับใช้ เพื่อทำความสะอาดบ้าน บางครั้งค่าจ้างทำความสะอาด อาจมีราคาต่ำกว่า ค่ารักษาที่ท่านต้องเสียไป
8. หลีกเลี่ยงการใช้พรมในบ้าน พรมเป็นบ้านหลังใหญ่ที่ตัวไร และเชื้อรา จะมาอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก แม้ว่าจะทำความสะอาดด้วยการนำมาซัก ก็ไม่สามารถกำจัดตัวไรให้หมดไปได้ เนื่องจากความร้อนที่ใช้ไม่สูงพอในการทำลายตัวไร ในทางตรงข้าม กลับจะทำให้พรมมีความชื้นมากขึ้น ถ้าทำให้แห้งไม่ดีพอ และทำให้มีตัวไรและเชื้อรามากขึ้นไปอีก

9. ใช้หมอนที่ทำจากวัสดุสังเคราะห์ แม้ว่าตัวไรจะสามารถอาศัยอยู่ในวัสดุสังเคราะห์ได้เช่นกัน แต่หมอนที่ทำจากวัสดุสังเคราะห์สามารถนำมาทำความสะอาดด้วยความร้อนที่มีอุณหภูมิที่สูงกว่าหมอนธรรมดา ทำให้สามารถทำลายตัวไรได้
10. ซักปลอกหมอนและผ้าปูที่นอนบ่อยๆในน้ำร้อน นอกจากหมอนแล้ว ตัวไรยังชอบ ที่จะอาศัยอยู่ในปลอกหมอนด้วยเช่นกัน
11. ทำห้องนอนให้เป็นเขตปลอดสารก่อภูมิแพ้ในกรณีที่ไม่สามารถทำให้ทั้งบ้านเป็นเขตปลอดสารก่อภูมิแพ้ได้ ทั้งนี้เนื่องจาก โดยทั่วไป คนเราจะใช้เวลาอยู่ในห้องนอนมากกว่าห้องอื่นๆ

อาหารปลาราชาแห่งโปรตีน


ไขมันต่ำและเป็นไขมันที่จำเป็นต่อร่างกายปลายังมีไขมันต่ำ มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวหรือที่เรียกว่า โอเมก้า3 ซึ่งเป็นไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย แต่เราไม่สามารถสร้างเองได้ นอกจากกรดไขมันโอเมก้า3ที่มีอยู่ในปลาช่วยป้องกันการสะสมตัวของไขมันอิ่มตัว หรือคลอเลสเตอรอล อันเป็นสาเหตุ ให้เส้นเลือดอุดตัน ซึ่งนำไปสู่โรคหัวใจ และเส้นเลือดในสมองแตกได้ กรดไขมันโอเมก้า 3 ยังมีประโยชน์ในด้านอื่นๆ อีกมากมาย เช่น
-•-ช่วยในการลดน้ำหนัก ในปี 1999 นักวิจัยออสเตรเลียพบว่า การบริโภคปลาที่มีโอเมก้า3 สูง เช่น ปลาทูน่า ปลาแซลมอล จะช่วยให้การลดน้ำหนักได้ผลดียิ่งขึ้น
-•-บำรุงสมอง ผลวิจัยจากสหรัฐอเมริกาพบว่า กรดไขมันดีเอชเอ (DHA) ในโอเมก้า3 มีส่วนสำคัญในการพัฒนาสมอง โดยเฉพาะในส่วนของความจำและการเรียนรู้
-•-ช่วยลดความเครียด Archives of General Psychiatry ได้รายงานการวิจัย เกี่ยวกับน้ำมันปลา ว่าสามารถลดความเครียดในผู้ป่วยโรคประสาท ที่มักจะอาละวาด ทำให้มีอารมณ์ที่เยือกเย็นลงได้
-•-บรรเทาอาการซึมเศร้า การศึกษาของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดพบว่า การขาดโอเมก้า3 ซึ่งเป็นกรดไขมันที่จำเป็นต่อสมอง อาจเป็นสาเหตุทำให้คนมีอาการซึมเศร้า สมาธิสั้น และขาดความสามารถในการอ่านหนังสือได้
-•-บรรเทาอาการของโรคไขข้ออักเสบ จากการวิจัยในช่วง10 ปีที่ผ่านมา พบว่า น้ำมันปลาช่วยบรรเทาอาการ ของผู้ป่วยโรคไขข้ออักเสบ จนสามารถลดการใช้ยาบางส่วนลงได้
-•-ลดการอักเสบของโรคผิวหนัง การศึกษาวิจัยระบุว่า การกินปลาที่มีไขมันมาก จะช่วยบรรเทาอาการของโรคผิวหนัง อย่างสะเก็ดเงิน (เรื้อนกวาง) เพราะปลามีวิตามินดีจากกรดไขมันโอเมก้า 3 ในปริมาณที่มากนั่นเอง
-•-ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ จากการวิจัยในปี 1998พบว่า การบริโภคปลาอย่างน้อย สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง จะช่วยลดความดันโลหิต ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงให้เกิดโรคหัวใจลงได้ นอกจากนั้น จากการวิจัยของมหาวิทยาลัยโอเรกอนยังระบุว่า ในไขมันปลามีกรดไขมันอีพีเอ (EPA) ซึ่งเป็นกรดไขมันในกลุ่มโอเมก้า3ยังช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอลในเลือด และลดระดับไตรกลีเซอไรด์ลงได้ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญ ของโรคหลอดเลือดหัวใจด้วยเช่นกัน

7 วิธีประสบความสำเร็จในทุกเรื่อง

1. เริ่มจากพื้นฐานง่ายๆ ก่อน ถามตั้งให้แน่ใจก่อนว่า จะทำอะไร ต้องความพยายามตั้งเป้าหมาย และความตั้งใจแน่วแน่กับอะไรก็ตามที่ต้องการทำให้สำเร็จเป็นอันดับแรก
2. ความสำเร็จอาจไม่ได้มาในครั้งเดียวที่ทำ อาจต้องทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า ล้มบ้าง ก็ไม่เป็นไร ให้ใช้ความล้มเหลวมาเรียนรู้เป็นประสบการณ์ ในเพื่อป้องกันความผิดพลาดซ้ำครั้งต่อๆ ไป
3. ไม่มีใครสามารถอยู่คนเดียวได้ การขอความช่วยเหลือหรือคำแนะนำจากคนอื่นๆ บ้างก็ไม่เป็นไร ถ้ามันจะทำให้เราพัฒนาขึ้น
4. ทำให้ดีที่สุด อย่ายอมแพ้ก่อนเป็นอันขาด เพราะทุกครั้งที่เรายอมแพ้ นั่นหมายถึงว่าเราต้องนับหนึ่งใหม่ในครั้งต่อไป
5. รอบตัวเรามีคนที่ทำอะไรที่ประสบความสำเร็จมากมาย เมื่อเราอยู่ใกล้คนที่พลังหรือความตั้งใจสูงอย่างนั้น หรือใช้คนเหล่านั้นเป็นต้นแบบ มันช่วยเป็นแรงผลักดันตัวเราเองและเป็นกำลังใจให้เราได้
6. วางแผน เพราะความสำเร็จที่แท้จริงไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคน ควบคุมการใช้ชีวิตของตัวเองอย่างเป็นระบบ และทำตามเป้าหมายของตัวเอง ใช้ตัวเองเป็นมาตรฐาน อย่าไปเปรียบเทียบกับคนอื่น เพราะคำว่า ความสำเร็จของแต่ละคนนั่นไม่เหมือนกัน
7. รับรู้ รับฟัง เรียนรู้และเข้าใจสิ่งต่างๆ เพราะความรู้คือพลังที่จะทำให้คุณประสบความสำเร็จ

วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

วิธีการถนอมสายตาเมื่อต้องใช้คอมพิวเตอร์

1.ควรเลือกจอภาพที่มีการกระจายรังสีต่ำเพื่อถนอมสายตา วิธีทดสอบง่ายๆ ทำได้โดยลองปิดสวิตช์จอภาพ แล้วเอามือหรือแขนไปจ่อไว้ใกล้ๆ จอภาพให้มากที่สุด จอภาพที่มีการกระจายรังสีต่ำจะแทบไม่รู้สึกถึงไฟฟ้าสถิตตามขนที่ผิว

2.ปรับแสงและความคมชัดของหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้รู้สึกสบายตา รวมทั้งความสว่างภายในที่ทำงาน ลดแสงสะท้อนรบกวน เช่น ปิดไฟดวงที่สะท้อนจ้าลงบนจอคอมพิวเตอร์ หากทำงานกับคอมพิวเตอร์ในสภาพแวดล้อมที่มีแสงจ้าและจอภาพมีความสว่างมาก ก็จะยิ่งส่งผลเสียต่อดวงตาได้ง่ายและรวดเร็ว จะรู้สึกว่ามีอาการปวดร้าวดวงตาเร็วและแสบตาอย่างรุนแรง

3.ตำแหน่งของจอภาพควรห่างจากดวงตาประมาณ 18-24 นิ้ว หรือประมาณช่วงแขนเอื้อม และปรับให้ต่ำกว่าระดับสายตาประมาณ 15-20 องศา หากระยะห่างระหว่างตากับจอภาพไม่สัมพันธ์กัน จะทำให้เกิดอาการเมื่อยล้าและปวดตาได้ง่าย

4.การใช้แผ่นกรองรังสีติดไว้ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ แม้ว่าจะช่วยลดการกระจายรังสีจากจอคอมพิวเตอร์ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แล้วแต่คุณภาพของสินค้า แต่อย่างน้อยๆ ก็ช่วยลดแสงจ้าจากจอคอมพิวเตอร์ลงได้

5.ทำความสะอาดหน้าจอคอมพิวเตอร์อยู่เสมอ เพราะฝุ่นจะทำให้เกิดการสะท้อนมากขึ้น

6.การหยุดพักหรือเปลี่ยนตารางเวลาการทำงานใหม่ จะช่วยให้สายตาคลายความเมื่อยล้าจากการจ้องเพ่งคอมพิวเตอร์ได้ The National Institute of Occupational Safety and Health (NIOSH) แนะนำให้หยุดพักสายตาครั้งละ 15 นาทีทุกๆ 2 ชั่วโมง ผู้เชี่ยวชาญบางคนก็แนะนำว่าควรจะหยุดพักบ่อยๆ โดยแต่ละครั้งใช้เวลาเพียงเล็กน้อย เช่น พักสายตาทุก 30 นาที โดยหลับตาหรือมองไปไกลๆ สัก 5-10 นาที แล้วจึงเริ่มทำงานต่อไป ก็จะช่วยถนอมสายตาได้

7.อาจใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆ วางไว้บนเปลือกตา และหลับตาสัก 2-3 นาที หรือจะให้ดีกว่านั้นก็คือ ปิดไฟ นอนพักสักครู่ (ถ้าไม่มีปัญหากับหัวหน้างาน)

8.สำหรับผู้ที่ใส่คอนแท็กเลนส์ อาจจะเกิดอาการตาแห้งเพราะขาดน้ำหล่อเลี้ยง เพราะห้องที่มีคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ ก็มักจะมีเครื่องปรับอากาศอยู่ด้วย เมื่อบวกกับความร้อนจากเครื่องคอมพิวเตอร์ จะทำให้อากาศแห้ง การหยอดน้ำตาเทียมจะช่วยได้

9.ควรกะพริบตาให้บ่อยครั้งกว่าปกติ เพื่อให้มีน้ำหล่อเลี้ยงดวงตาอยู่เสมอ ภายใน 10 วินาที ลองพยายามกะพริบตาสัก 1-2 ครั้ง จะช่วยลดความอ่อนล้าของสายตาได้มาก

10.ผู้ที่ใส่คอนแท็กเลนส์ และมีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป ซึ่งใช้คอมพิวเตอร์เป็นประจำ ควรตรวจเช็กสุขภาพตาบ้าง

อาการที่นัยน์ตาถูกใช้งานอย่างหักโหม

อาการที่นัยน์ตาถูกใช้งานอย่างหักโหม ได้แก่

การมองเห็นสี
หากลองมองไปที่อื่นหลังจากที่มองจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ จะรู้สึกว่าการมองเห็นสีนั้นยากขึ้น ปรากฏการณ์นี้เกิดจากปริมาณของสีเคมีพิเศษที่อยู่ในจอตาหรือจอรับภาพลดลง อย่างไรก็ตามนัยน์ตาก็จะสร้างสีให้เกิดใหม่ได้ในไม่ช้า หลังจากที่สีเคมีดังกล่าวหายไปชั่วขณะหนึ่ง

การมองเห็นภาพซ้อน
กล้ามเนื้อตาจะรวมภาพที่จุดๆ หนึ่ง แต่เหมือนกับมีบางสิ่งมาอยู่ใกล้ๆ กับจุดโฟกัสนั้น เมื่อเราพยายามมอง ก็จะทำให้เกิดเป็นภาพซ้อน ซึ่งมักพบได้บ่อยๆ การเห็นภาพซ้อนบางครั้งก็ไม่รู้สึกหรือไม่เกิดขึ้นโดยตรง แต่จะรู้สึกปวดหัวหรือเกิดอาการล้านัยน์ตา หากเห็นภาพซ้อนอยู่เรื่อยๆ ควรปรึกษาจักษุแพทย์

ปัญหาในการโฟกัส
หากกล้ามเนื้อตาต้องถูกใช้งานอย่างหนักโดยการทำงานซ้ำๆ เช่น เพื่อเลื่อนโฟกัสมองตามตัวอักษรที่พิมพ์ หรือกวาดสายตาตามตัวอักษรที่อ่านบนจอภาพ หรือการจ้องมองอยู่ที่โฟกัสเดิมเป็นเวลานานๆ ก็เป็นสาเหตุให้กล้ามเนื้อตาเกิดอาการล้าหรือตึงเครียด และอาจทำให้สายตาหรือกล้ามเนื้อตาเสื่อมลง ทำให้ความสามารถในการกำหนดโฟกัสของสายตาแย่ไปด้วย

อาการปวดหัว
เมื่อต้องใช้สายตาอย่างหนักในการจ้องมองจอคอมพิวเตอร์นานๆ อาจจะเกิดอาการปวดหัว พบมากที่บริเวณขมับ ซึ่งเกิดจากกล้ามเนื้อบริเวณคอและศีรษะเกิดความตึงเครียด อาการปวดหัวอาจไม่ได้เกิดจากความเมื่อยล้าของนัยน์ตาโดยตรง แต่เป็นผลข้างเคียงจากความพยายามจ้องมองในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม คนที่สายตาสั้นจะปวดหัวและมีอาการเมื่อยล้านัยน์ตาได้ง่าย

วันเสาร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เชื่อหรือไม่!! พริกขี้หนูลดน้ำตาลได้


รู้จักกันหรือรึเปล่าจ๊ะว่า “พริกขี้หนู” นั้น นอกจากจะช่วยเพิ่มรสชาติให้อาหารอร่อยแล้ว ยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพอีกด้วย โดยเจ้าพริกเม็ดเล็กๆ ที่เราเห็นนั้นจะช่วย “ลดระดับน้ำตาลในเลือดได้”
เชื่อหรือไม่!! พริกขี้หนูลดน้ำตาลได้
ข่าวนี้เป็นของ “รศ.สุพีชา วิทยเลิศปัญญา” ภาควิชาเภสัชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง "เภสัชจลนศาสตร์ของสารแคปไซซินในพริกขี้หนูสด และฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของพริกขี้หนูสดต่อน้ำตาลในเลือดในอาสาสมัครสุขภาพดี"
เชื่อหรือไม่!! พริกขี้หนูลดน้ำตาลได้
ซึ่ง “รศ.สุพีชา” ได้เปิดเผยถึงผลวิจัยครั้งนี้ว่า "แคปไซซินพบมากที่สุดบริเวณรกของพริกขี้หนู วิธีการวิจัยระยะแรกจะศึกษานำร่องในอาสาสมัครจำนวน 2 ราย เพื่อพิสูจน์ปริมาณที่เหมาะสมของสารตัวนี้ที่มีผลทำให้ระดับน้ำตาลลดลง โดยใช้พริกขี้หนูขนาด 5 กรัม พบว่าสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดลงชัดเจน จากนั้นทดลองในอาสาสมัครจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 12 ราย กลุ่มหนึ่งทานพริกขี้หนูบรรจุในแคปซูลพร้อมกับน้ำตาลความเข้มข้นสูง อีกกลุ่มทานแคปซูลเปล่า เพื่อเปรียบเทียบผลแล้วจึงวัดระดับน้ำตาลในเลือดทุก 15 นาที ตั้งแต่เริ่มทานยาเป็นเวลา 2 ชั่วโมง ปรากฏว่าระดับน้ำตาลในเลือดลดลงอย่างเห็นได้ชัดในนาทีที่ 30 โดยกลุ่มที่ทานพริกขี้หนูสดมีระดับน้ำตาลลดลงมากกว่ากลุ่มที่ทานแคปซูลเปล่า"
สรุปการวิจัยว่า การกินพริกขี้หนูสด 5 กรัม จะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ และยังกระตุ้นการหลั่งอินซูลินได้อีกด้วย
ไม่น่าเชื่อเลยใช่ไหมจ๊ะว่า พริกขึ้หนูเม็ดเล็กๆ นั้น
จะมีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายของเรามากมายขนาดนี้

วันศุกร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

รู้ไว้จะได้ระวัง "โรคไฟโบรมัยอัลเจีย"

หลายคนอาจจะยังไม่รู้จักโรคร้าย "ไฟโบรมัยอัลเจีย" ซึ่งเป็นโรคใหม่ที่กำลังเกิดขึ้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทยมากขึ้น … สำหรับโรคดังกล่าวนั้นเพิ่งมีการศึกษาและสำรวจถึงจำนวนผู้ป่วยและลักษณะของโรคเมื่อไม่นานมานี้
โดยในช่วงปลายเดือนต.ค. ปีที่ผ่านมา บริษัทไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด จัดงานสัมมนาที่ห้องประชุม เบฟเวอรี่ ฮิลล์ โรงแรมคอนราดกรุงเทพฯ เปิดเผยผลสำรวจล่าสุดจาก "โครงการการสำรวจแนวโน้มและความตระหนักรู้เกี่ยวกับ โรคไฟโบรมัยอัลเจีย ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้" เพื่อนำเสนอโรคไฟโบรมัยอัลเจียให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น
โดยในการประชุมครั้งนี้ ดร.เฮนรี่ ลู หัวหน้าประจำคลินิกควบคุมความปวด มาคาติ ณ ศูนย์การแพทย์มาคาติ ฟิลิปปินส์ อธิบายอาการของโรคไฟโบรมัยอัลเจียว่า ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บปวดเรื้อรังและลุกลามไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ระดับอาการปวดเทียบได้เกือบเท่ากับระดับของการปวดในไมเกรน ขณะนี้ทั่วโลกมีผู้ป่วยเป็นโรคดังกล่าวอยู่ถึง 40 ล้าน และผู้ป่วยบางคนไม่ทราบว่าตนนั้นป่วยเป็นโรคนี้อยู่
"อาการปวดจากโรคไฟโบรมัยอัลเจีย มีเอกลักษณ์อยู่ตรงที่อาการปวดจะค่อยๆ แผ่ขยายออกไปตามร่างกายของผู้ป่วย ข้อมูลจากการวิจัยในผู้ป่วยในประเทศสหรัฐ พบว่า ผู้ป่วยจะมีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ในบางรายที่เป็นหนักถึงขั้นชา และนอนไม่หลับ เป็นต้น" ดร.ลู กล่าว
และจากข้อมูลและหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ล่าสุด ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า สาเหตุของโรคมาจากสมองส่วนที่ทำหน้าที่รับรู้ความเจ็บปวด ซึ่งอาจเป็นส่วน "ทาลามัส" ทำงานไวผิดปกติเพราะปัจจัยหลัก 3 ประการ คือ ความผิดปกติทางพันธุกรรม เคยบาดเจ็บอย่างรุนแรง หรือเกิดจากปัจจัยแวดล้อม เช่น เคยถูกทารุณกรรม เมื่อเป็นหนักเข้าจะทำให้ผู้ป่วยสุขภาพร่างกายและจิตใจถดถอยลง บางรายถึงขั้นเสียสติ เพราะทนอยู่กับอาการป่วยมานานและไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง
สำหรับผู้ที่ตรวจพบว่าเป็นโรคดังกล่าวนั้น แพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ให้คำแนะนำว่า ไม่ควรตื่นตระหนก ให้ไปพบแพทย์ที่ไปพบอยู่ประจำ เพราะแพทย์จะรู้ประวัติผู้ป่วยซึ่งมีความสำคัญมากในการใช้ประกอบการวินิจฉัย แล้วจึงปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ไปตามขั้นตอน

วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

โรคหวัด

โรคหวัด ก็ คือโพรงจมูกอักเสบจากการติดเชื้อซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มักจะเกิดจากไวรัส มีไวรัสเป็นร้อยชนิดที่ทำให้เกิดไข้หวัดได้ ไวรัสเหล่านี้กระจายฟุ้งอยู่ในอากาศแล้วก็ตกลงอยู่ทีพื้น หรือเกาะอยู่ตามฝุ่น


ไวรัส เหล่านี้สามารถมีชีวิตอยู่ได้นาน ในช่วงปกติเราก็จะสัมผัสกับไวรัสเหล่านี้อยู่บ้าง แต่เนื่องจากปริมาณมีไม่สูงรวมทั้งภูมิต้านทานของร่างกาย และสภาวะแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม เราจึงไม่เป็นโรคหวัด ก่อนฝนตกมักจะมีกระแสลมที่แรงลมเหล่านี้ จะพัดให้ไวรัสให้ฟุ้งกระจายปริมาณมาก หากเราอยู่ในบริเวณนั้นก่อนฝนตกโอกาส ที่จะสัมผัสไวรัสในปริมาณมากก็มีมากขึ้น


ดังนั้น
พยายาม อย่าอยู่ในที่โล่งแจ้งโดยเฉพาะเวลาก่อนฝนตกหรือถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ อาจใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากปิดจมูกในช่วงเวลานั้นก็ได้ หากเราตากฝน ศีรษะของเราก็จะเปียกฝน เชื้อโรคไม่ได้เข้าทางศีรษะนะแต่การที่ศีรษะเปียกฝนจะมีผลทำให้อุณภูมิที่ พื้นผิวของเยื่อบุจมูกลดต่ำลงประมาณ 1-2 องศาเซลเซียส ซึ่งอุณหภูมิระดับนี้เหมาะสมสำหรับการแบ่งตัวของเชื้อไวรัสที่ตกค้างอยู่ใน ช่องจมูก ประกอบกับการสัมผัสเชื้อไวรัสปริมาณมากช่วงก่อนฝนตกก็เลยทำให้มีไวรัสจำนวน มากบริเวณเยื่อบุจมูก ภูมิต้านทานของร่างกาย จึงไม่อาจต้านทานเชื้อเหล่านี้ได้อีกต่อไปก็เลยเกิดการอักเสบของเยื่อบุจมูก เกิดอาการบวมของเยื่อบุจมูก ทำให้คัดจมูก รวมทั้งเกิดการสร้างสารคัดหลั่งมากขึ้น ซึ่งก็คือน้ำมูกนั่นเอง หากเชื้อไวรัสลุกลามไปที่ลำคอ ก็จะทำให้เกิดคออักเสบตามมาได้

นอก จากศีรษะที่เปียกฝน ที่มีผลต่ออุณหภูมิในจมูกแล้วอุณหภูมิบริเวณมือและเท้า ก็มีผลด้วยเช่นเดียวกันการที่รองเท้าเราเปียกน้ำ และต้องแช่อยู่ในนั้นนานๆก็มีผลทำให้อุณภูมิในจมูกลดลง นำไปสู่อาการเป็นหวัดได้

วิธีการป้องกัน ไม่ให้เกิดหวัดเวลาศีรษะเปียกฝนก็คือ

หลบ ฝนในที่ร่มเสียก่อน รอจนฝนหยุด แล้วค่อยเดินทางต่อ ใช้ร่มเพื่อบังศีรษะของเราไว้ หากศีรษะเปียกฝน รีบเช็ดให้แห้งเมื่อมีโอกาส ถ้าจะให้ดี สระผมไปเลยก็ได้แล้วเช็ดหรือเป่าให้แห้งโดยเร็วรีบทำให้ร่างกายอบอุ่น อาจแช่เท้าทั้งสองข้างในน้ำอุ่น เพื่อช่วยเปลี่ยนอุณหภูมิที่พื้นผิวของจมูกทำให้ไม่เหมาะต่อการแบ่งตัวของ เชื้อโรครับประทานผลไม้ ที่มีวิตามินซีสูงๆ เช่น ส้ม วิตามินซีจะช่วยเสริมสร้างเซลและเนื้อเยื่อที่ถูกทำลายไป ช่วยป้องกันการเป็นหวัดได้

วันเสาร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

อั่งเปา




"ที่มาของ แต๊ะเอีย"


เงินแต๊ะเอีย หรือ อั่งเปา ที่แปลว่าซองแดง เด็ก ๆ มักได้จากผู้ใหญ่ในครอบครัว โดยหลายบ้านจะถือธรรมเนียมว่าให้กันเฉพาะคนในครอบครัวหรือสกุลเดียวกัน แล้วอาจจะขยายวงไปถึงคนรักใคร่นับถือกันเหมือนญาติ โดยแต่โบราณเรียกเงินนี้ว่า เงินเอี๊ยบส่วยจี๊ เอี๊ยบ แปลว่า กด , อัด , ห้าม ส่วย แปลว่า อายุ

เอี๊ยบส่วยจี๊ เป็นดั่งหนึ่งเงินมงคลคุ้มครองชะตา ตามตำรา 100 ธรรมเนียมจีนโบราณ บอกว่า ดั้งเดิมนิยมให้กันในวันสิ้นปี ผู้ใหญ่จะเอาเหรียญทองแดง 100 อัน ร้อยด้วยด้ายแดง ผูกเป็นพวงให้เด็กในวันก่อนวันตรุษจีนหรือวันสิ้นปีนั่นเอง เรียกเงินพวกนี้ว่าเอี๊ยบส่วนจี๊ โดยมีลูกเล่นเล็กๆ ว่า ส่วนที่แปลว่าอายุนี้ พ้องเสียงกับคำว่า ส่วย ที่แปลว่าผี ปีศาจ และคำว่า ซวย เอี๊ยบส่วย หรือ เอี๊ยบซวย จึงแปลว่า ห้ามความซวยหรือผี ปีศาจมาสู่

เงินร้อยด้ายแดงทั้งพวง นี้ ดั้งเดิมเด็ก ๆ คงห้อยไว้กับเชือกผูกเอว เกิดคำว่า แต๊ะเอีย แปลว่า ถ่วงเอวบางบ้านมีการวางส้มสีทองและลิ้นจี่ไว้ที่หมอน แล้วให้เด็ก ๆ รับประทานก่อนนอนในคืนวันตรุษจีน เรียกผลไม้นี้ว่า เอี๊ยบส่วยก้วย เพื่ออวยพรให้โชคดี ซึ่งคนจีนในไทยไม่ได้นำธรรมเนียมวางเอี๊ยบส่วยก้วย ไว้ที่หมอนให้ลูกหลานทาน แต่จะเป็นการนำส้มสีทองหรือ ไต้กิก 4 ผล ไปมอบให้แก่ผู้ใหญ่หรือญาติมิตรที่นับถือกันมากกว่า เรียกธรรมเนียมนี้ว่า ไป๊เจีย

"ธรรมเนียมและความหมาย"
โดย มีเคล็ดธรรมเนียมว่า เมื่อเรารับส้ม 4 ผล ที่ห่อในผ้าเช็ดหน้า ก็ให้นำมาเปลี่ยน โดยนำส้มของแขกออกมา 2 ใบ แล้วใส่ส้มของเราเข้าไปแทน 2 ใบ ผูกห่อผ้าเช็ดหน้าคืนแขกไป ดังนั้นส้มสีทอง 4 ผลนี้ ก็จะมีส้มของแขก 2 ใบ กับของเราอีก 2 ใบ ถือเป็นการนำโชคดีมามอบให้และแลกเปลี่ยนโชคกันด้วย

ส่วนเงินสิริมงคลนั้น เรียกว่า เงินเอี่ยมเส่งจี่ หมายถึงเหรียญเงินที่พิชิตความไม่ดี คำเต็มๆ คือ จับยี่แซเสี่ยวเอี่ยมเส่งจี๋ เป็นเงินเหรียญรูป 12 ปีนักษัตร สำหรับเป็นเครื่องรางคุ้มครองทุกดวงชะตาให้สันติสุขปลอดภัย

ต่อมาเงินเอี๊ยบส่วยจี๋ ที่เป็นเหรียญ 100 อันร้อยเชือกแดงก็ดี เป็นเงินเอี่ยมเส่งจี๋ 12 นักษัตรก็ดี ก็พัฒนาเป็นการให้ธนบัตรใหม่ๆ ใส่ซองแดง เรียกว่า เงินอั่งเปา หรือ เงินแต๊ะเอีย สืบมาโดยคำนึงว่าเงินเอี๊ยมส่วยจี๋ได้หายไป หากเคล็ดการให้ก็ยังคงเพื่ออวยพรนั่นเอง เพื่อให้เป็นสิริมงคลแก่ผู้รับว่า

"อวยพรให้แข็งแรงเติบโตอายุยืน"

ถ้า เป็นผู้ใหญ่ให้เด็กเล็ก ๆ นี่คือการอวยพรให้เจ้าตัวน้อยเจริญเติบโตแข็งแรง ถ้าเป็นผู้ใหญ่ให้ลูกหลานที่ทำงานแล้ว ก็เพื่ออวยพรให้เจริญก้าวหน้าสุขภาพแข็งแรง

หากเป็นลูกที่ทำงาน แล้วให้พ่อแม่ ก็คือเพื่ออวยพรให้ท่านแข็งแรงอายุยืนยาว โดยการที่ลูกให้พ่อแม่ และพ่อแม่ให้ลูกนั้น ต้องเป็นเงินของใครของมัน ไม่ใช่ว่าลูกให้พ่อแม่ เมื่อพ่อแม่รับเงินอั่งเปาจากลูกก็ส่งคืนเงินทั้งซองกลับไป แต่ต่างฝ่ายต่างควรเตรียมเงินของตนไว้ให้เรียบร้อย

เมื่อได้รับอั่งเปาเรียบร้อยแล้ว ธรรมเนียมต่อไปคือ การเที่ยวและอยู่พร้อมหน้าครอบครัว



วันพุธที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2553

วิธีปฏิบัติตัวเมื่อเป็นโรคกระเพาะ


วิธีปฏิบัติสำหรับคนที่รู้ตัวว่าเป็นโรคกระเพาะ


- กินอาหารให้เป็นเวลา ไม่ปล่อยให้ท้องว่างหรือหิว ถ้าหิวก่อนเวลาให้ดื่มนม หรือน้ำเต้าหู้ น้ำข้าว น้ำผลไม้

- หลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ดจัด เปรี้ยวจัดจากน้ำสมสายชู

- งด ดื่มเหล้า เบียร์ ยาดอง กาแฟ

- งด การสูบบุหรี่

- หลีกเลี่ยงการกินยาแก้ปวด แก้ไข้ ที่มีแอสไพริน หรือยาชุดต่าง ๆ รวมทั้งยาแก้ปวดกระดูก และยาสเตียรอยด์ ยาลูกกลอน ยาหม้อต่าง ๆ

- ควรพักผ่อนให้มากเพียงพอ ทำจิตใจให้เบิกบานผ่อนคลายเครียด วิตกกังวล และไม่หงุดหงิดอารมณ์เสียง่าย

- กินยาตามแพทย์สั่ง ถ้ากินยาแล้วอาการดีขึ้น ต้องกินยาติดต่อกันอย่างน้อย 4-6 อาทิตย์ ไม่ควรหยุดยาก่อน เพราะอาการปวดท้องจะกำเริบได้อีก

- ควรออกกำลังกาย แต่ไม่ควรหักโหมมากเกินไป

- อย่าซื้อยากินเอง ถ้ามีโรคอื่นร่วมด้วยควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ย

วันเสาร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2553

ดอกดาหลา



ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

ลำต้น
ดาหลาเป็นพืชที่มีลักษณะคล้ายข่า มีลำต้นใต้ดินเรียกว่าเหง้า (rhizome) เหง้านี้ จะเป็นบริเวณที่เกิดของหน่อดอกและหน่อต้น ดาหลา 1 ต้น สามารถให้หน่อใหม่ได้ประมาณ 7 หน่อ ในเวลา 1 ปี ส่วนลำต้นเหนือดินเป็นกาบใบที่โอบซ้อนกันแน่น เช่นเดียวกับพวกกล้วย ส่วนนี้คือลำต้นเทียม (pseudostem) ลำต้นเหนือดินสูง 2-3 เมตร มีสีเขียวเข้ม

ใบ
มีรูปร่างยาวรี กลางใบกว้างแล้วค่อย ๆ เรียวไปหาปลายใบ และฐานใบ ใบไม่มีก้านใบ ผิวเกลี้ยงท้งด้านบนและด้านล่าง ใบยาว 30-80 เซ็นติเมตร กว้าง 10-15 เซนติเมตร ปลายใบ แหลมฐานใบเรียวลาดเข้าหาก้านใบ เส้นกลางใบปรากฏชัดทางด้านล่างของใบ

ดอก
ดอก ดาหลาเป็นดอกช่อมีลักษณะดอกแบบ (head) ประกอบด้วยกลีบประดับ (Bracts) มี 2 ขนาด ส่วนโคนประกอบด้วยกลีบประดับขนาดใหญ่ มีความกว้างกลีบ 2-3 ซ.ม. จะมีสีแดงขลิบขาวเรียงซ้อนกันอยู่และจะบานออก ประมาณ 25-30 กลีบ และมีกลีบประดับ ขนาดเล็กอยู่ส่วนบนของช่อดอก ความกว้างกลีบประมาณ 1 ซ.ม. ซึ่งมีสีเดียวกับกลีบประดับ ขนาดใหญ่ กลีบประดับเล็กนี้จะหุบเข้าเรียงเป็นระดับมีประมาณ 300-330 กลีบ ภายในกลีบ ประดับขนาดใหญ่ที่บานออกจะมีดอกจนิงขนาดเล็กกลีบดอกสีแดง ซึ่งเป็นดอกสมบูรณ์เพศอยู่ จำนวนมาก ดอกบานเต็มที่จะมีขนาดความกว้างดอกประมาณ 14-16 เซนติเมตร ความยาวช่อ 10-15 เซนติเมตร มีก้านช่อดอกยาว 30-150 เซนติเมตร ลักษณะก้านช่อดอกแข็งตรง ดอก จะออกตลอดปีแต่จะให้ดอกดกที่สุดในช่วงฤดูร้อน คือ เดือนมีนาคม - พฤษภาคม ดอกจะ พัฒนามาจากหน่อดอกที่แทงออกมาจากเหง้าใต้ดินลักษณะของหน่อจะมีสีชมพู ที่ปลายหน่อ

พันธุ์
ปัจจุบันพันธุ์ดาหลาที่ปลูกตัดดอกมีอยู่ 2 พันธุ์ด้วยกันคือ พันธุ์สีชมพู และพันธุ์สีแดง

การขยายพันธุ์
ดาหลาสามารถขยายพันธุ์ด้วยวิธีต่าง ๆ ดังนี้
1. การแยกหน่อ
ควร แยกหน่อที่มีความเหมาะสมนำไปปลูกคือ สูงประมาณ 60-100 ซ.ม. ขึ้นไปและมีกิ่งอ่อนกึ่งแก่นประมาณ 4-5 ใบ ใช้มีตัดให้มีเหง้า และรากติดอยู่ด้วย ซึ่งหน่อชนิดนี้จะมีหน่อดอกอ่อน ๆ ติดมาด้วยประมาณ 3 หน่อ นำไปชำในถึงพลาสติก 1 เดือนเพื่อให้หน่อแข็งแรงก่อนปลูก

2. การแยกเหง้า

โดยการแยกเหง้าที่เกิดใหม่ที่โคนต้น แล้วนำไปชำในแปลงเพาะชำ วิธีนี้จะใช้เวลาประมาณ 1 ปี จึงจะเริ่มให้ดอก

3. การปักชำหน่อแก่

โดยนำไปชำในแปลงเพาะชำให้แตกหน่อใหม่แข็งแรง แล้วจึงค่อยย้ายมาปลูกลงแปลง

การปลูก
โดย ใช้หน่อที่มีเหง้าและรากติดมาด้วย เหง้าที่ตัดมาควรมีความยาวประมาณ 5 นิ้ว โดยสังเกตุให้หน่อนั้น ๆ มีใบติดมาประมาณ 4 คู่ใบ ปลูกลงในหลุมที่เตรียมไว้ แล้วทำการกลบดินให้สูงประมาณ 6 นิ้ว รดน้ำให้ชุ่ม อาจใช้ดินเลนจากท้องร่องพอกทับโคนต้น เพื่อรักษาความชุ่มชื้น นอกจากนี้ควรหาไม้หลักมาผูกติดกับลำต้นกันต้นโยก

การดูแลรักษาดาหลา

การให้ปุ๋ย
จะ ให้ปุ๋ยดาหลาประมาณ 2 - 3 เดือนต่อครั้ง ซึ่งจะใช้ปุ๋ยสูตรเสมอ (16-16-16) ในอัตรา 96 กก./ไร่/ปี และให้ปุ๋ยคอกในอัตรา 15 กก./ต้น/ปี นอกจากนี้อาจใช้อินทรีย์วัสถุที่ผุพังแล้ว เช่น ใบไม้ต่าง ๆ หรือลำต้นแก่ของดาหลา, วัชพืชที่ขึ้นตามท้องร่อง มาเป็นปุ๋ยหมัก หรืออาจใช้ดินเลนจากท้องร่องพูนใส่ตามโค้นต้น ซึ่งดินแลนนี้จะมีอินทรีย์วัตถุสูง

การให้น้ำ
ดา หลาเป็นพืชที่ต้องการน้ำในปริมาณที่มากพอสมควร โดยเฉพาะในระยะเริ่มแรกของการปลูก ควรรดน้ำให้ชุ่ม โดยใช้แครงสาดวันละ 1 ครั้ง เมื่อต้นดาหลาตั้งตัวได้อาจเว้นระยะห่างของการให้น้ำจากวันละครั้งออกไปเป็น ประมาณ 2-3 วันต่อครั้ง แต่ต้องคำนึงถึงสภาพอากาศ ถ้าเป็นฤดูร้อนควรเพิ่มการให้น้ำมากขึ้นโดยใช้ระบบการให้น้ำแบบพ่นฝอย (springkler) บนแปลงที่ไม่ยกร่อง

การป้องกันกำจัดวัชพืช
ดา หลาเป็นพืชที่มีการเจริญเติบโตเร็ว แตกหน่อได้มาก ทำให้กอแน่นใบบังแสงซึ่งกันและกัน การกำจัดวัชพืชจะต้องกระทำมากในช่วงแรกของการปลูก เมื่อดาหลาโตมาก ๆ จะทำให้แสงที่ส่องผ่านมากระทบพื้นดินน้อย วัชพืชไม่สามารถเจริญงอกงามได้ จึงไม่ต้องทำการกำจัดวัชพืชมากนัก

โรคและแมลง
ยังไม่พบโรคที่เป็นปัญหาสำคัญกับดาหลา แต่มีแมลงสำคัญดังนี้

1. หนอนเจาะลำต้น
ลักษณะการทำลาย
เข้าทำลายต้นแก่ โดยไปเจาะบริเวณลำต้น ทำให้ต้นดาหลาหยุดชะงักการเจริญเติบโต และไม่สามารถให้ออกดอกได้ การป้องกันกำจัด ใช้ฟูราดาน 3% โรยบริเวณรอบ ๆ โค้นต้น หรืออาจใช้เซฟวิน

2. มดแดง
ลักษณะการทำลาย
กรดจากสิ่งขับถ่ายของมดแดงจะทำให้กีบดอกเกิดรอยขาวเป็นจุด ๆ การป้องกันกำจัด เก็บรังมดแดงออกจากต้น และใช้ย่าฆ่ามด

วันเสาร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2553

คูรเปรีบยเสมือน....เรื่อจ้าง จริงหรือ??

“ครู” เป็นอาชีพที่คอยให้ความรู้กับลูกศิษย์ โดยที่ท่านไม่ได้หวังสิ่งใดตอบแทน และในวันเสาร์ที่ 16 มกราคมนี้ ถือว่าเป็น “วันครูแห่งชาติ” ดังนั้นในวันนี้ำจึงขอเปรียบเทียบหน้าที่ของครูกับเรือ เพื่อให้เข้ากับประโยคที่ว่า “ครูเปรียบเสมือนเรือจ้าง” งั้นอย่ารอช้าไปเริ่มต้นกันที่....

เข็มทิศ >> เรือทุกลำล้วนแล้วแต่ต้องมีเข็มทิศประจำเรือ เพื่อจะได้รู้ทิศรู้ทางที่กำลังจะแล่นไป เปรียบเสมือนครู ที่จะต้องวางแผนการเรียนการสอนวิชาต่างๆ เพื่อให้เหมาะสมกับลูกศิษย์ นอกจากนี้ ครูยังเป็นผู้คอยสรรหาสิ่งดี และเป็นประโยชน์มาให้กับลูกศิษย์อยู่เสมอ
ฝีพาย >> เมื่อมีการวางแผนการเรียนการสอนเป็นที่เรียบร้อย ครูก็จะนำความรู้ และประสบการณ์ต่างๆ ที่ตัวเองสั่งสมมานาน นำมาสั่งสอนลูกศิษย์ เพื่อที่ว่าพวกเขาจะได้นำความรู้เหล่านั้นไปเป็นพื้นฐานความรู้ในการดำรงชีวิต และเป็นแนวทางสำหรับหนทางการมุ่งสู่ความสำเร็จในอนาคต

กัปตันเรือ >> การอยู่ร่วมกันของคนในสังคม ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวหรือโรงเรียนต่างจำเป็นต้องมีข้อกำหนดกฏเกณฑ์ขึ้นมา เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติและมีความสุข สำหรับในโรงเรียนนั้น ครูก็จะเป็นผู้ที่คอยตรวจดูความเรียบร้อยต่างๆ คอยอบรม ตักเตือนในยามที่ลูกศิษย์อาจจะทำผิดโดยไม่รู้ตัว คอยเป็นกำลังใจเมื่อเราท้อถอย และเป็นแรงผลักดันเพื่อให้เราประสบความสำเร็จ
หางเสือ >> เป็นกลไกในการขับเคลื่อนของเรือ เปรียบได้กับคุณครู ที่จะคอยเป็นแรงผลักดัน และกระตุ้นให้ลูกศิษย์ตื่นตัว และสนใจอยากที่จะเรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัวอยู่เสมอ ๆ ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณครูทำลงไป ไม่ว่าจะดุ จะเคี่ยวเข็ญสักเพียงไหน นั่นก็เป็นเพราะอยากให้ลูกศิษย์ของท่านรู้จักรับผิดชอบ และมีทางที่เดินที่ดีในภายภาคหน้า