วันอังคารที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

บันไดเลื่อนตัวแรกของไทย

บันไดเลื่อน มีวิวัฒนาการ มากจาก สายพาน ที่เลื่อนไปได้ ไม่มีจบสิ้น ใช้สำหรับ นำสินค้า เลื่อนไปในโรงงาน ต่อมา มีการใช้สายพานนี้ วางเอียงๆ เป็นเครื่องพา นักท่องเที่ยว ขึ้นไปบน หน้าผา นั่นเป็นรูปแบบดั้งเดิม ของบันไดเลื่อน ที่ไม่มีขั้นบันได

สำหรับบันไดเลื่อน รูปแบบที่ใช้อยู่ ในปัจจุบันนั้น บันไดแต่ละขั้น จะยึดติดกัน และมี ล้อเลื่อนขึ้นลงได้ ไปตามรางใต้บันได ขั้นบันได จะเลื่อนไปสู่ ปลายด้านหนึ่ง ของบันไดเลื่อน โดยจะค่อยๆ ลดระดับลง จนสุดที่ ปลายบันไดเลื่อน พาผู้ใช้ ขึ้นไปถึง ที่พักบันได เพื่อเลื่อน กลับมา การทำงานของบันไดเลื่อน จะมีมอเตอร์ไฟฟ้า หมุนเฟืองอันใหญ่ ฉุดให้ขั้นบันได เคลื่อนที่ นอกจากนี้ ยังฉุดราวบันได ซึ่งเป็น สายพานวิ่งได้รอบ ให้เคลื่อนที่ตามด้วย สำหรับให้ ผู้ใช้บันไดเลื่อน ยึดจับได้มั่น

ความเร็วของบันไดเลื่อนนั้น ประมาณ ๔๐ ฟุตต่อนาที แม้ลิฟท์ จะขนคนขึ้นที่สูง ได้เร็วกว่า แต่บันไดเลื่อน ก็ยังเป็น สิ่งจำเป็นอยู่ดี เพราะ บันไดเลื่อน เคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลา ทำให้ ขนย้าย จำนวนคน ได้มากกว่าลิฟท์ ในเวลาเท่ากัน

ห้างสรรพสินค้า ไทยไดมารู ราชประสงค์ เป็นผู้นำ บันไดเลื่อน ตัวแรก เข้ามาในเมืองไทย เปิดบริการเมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๐๗ ปรากฏว่า ชาวกรุง แห่กันไป ใช้บันไดเลื่อน กันเนืองแน่น ยายของ "ซองคำถาม" เอง ยังอุตส่าห์ นั่งรถจาก นครปฐม มาขึ้น บันไดเลื่อน กับเขาด้วย ห้างสรรพสินค้า ไทยไดมารู ที่ติดตั้ง บันไดเลื่อนตัวแรกนี้ ตั้งอยู่ทางฝั่ง ศูนย์การค้า เวิร์ลเทรดปัจจุบัน ต่อมา ห้าง ย้ายไปอยู่ ฝั่งตรงข้าม ไม่ทราบว่า เขาย้ายบันไดเลื่อนตัวแรก ตามไปด้วยหรือไม่ ปัจจุบัน อาคารห้างสรรพสินค้า ไทยไดมารู ถูกทุบทิ้ง ไปนานหลายปีแล้ว

วันอังคารที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

อาหารมงคลทานแล้วมีโชค

องุ่นแห่งความโชคดีของชาวสเปน ประเทศสเปนทำไร่องุ่นมากที่สุดในโลก และได้ผลผลิตจำนวนมาก ชาวสเปนจึงกินองุ่น 12 ผลไปพร้อมกับเสียงนาฬิกาบอกเวลาเที่ยงคืนในวันสิ้นปี เพื่อต้อนรับความโชคดีตลอด 12 เดือนข้างหน้า


เนเธอร์แลนด์ โดนัทแห่งความบริบูรณ์ ชาวดัตช์เชื่อว่า การกินโดนัทซึ่งมีลักษณะกลมแบบวงแหวน จะทำให้โชคดี และมีชีวิตครบถ้วนบริบูรณ์เหมือนรูปร่างของอาหาร


กรีซ St. Basil’s cake แห่งความสุข ในวันปีใหม่ ชาวกรีกจะทำเค้กสอดใส้เหรียญเงินชิ้นใหญ่ (St.Basil’s cake) กินในครอบครัวเพื่อรำลึกถึงนักบุญบาซิล ผู้มีความเมตตาต่อคนยากจน ซึ่งถึงแก่กรรมในวันที่ 1 มกราคม เชื่อกันว่าสมาชิกคนใดที่พบเหรียญเงินในชิ้นเค้กนั้นจะโชคดีตลอดปี


โซบะญี่ปุ่น อายุยืนหมื่นปี คนญี่ปุ่นนิยมกินบะหมี่ไม่ตัดเส้นที่ชื่อ “โทชิโคชิ โซบะ” ต้อนรับปีใหม่ เพราะเชื่อว่า จะทำให้อายุยืนยาวเหมือนเส้นบะหมี่


จีน กินปลากินไก่ ให้ความมั่งคั่ง ชาวจีนนิยมกินปลาในเทศกาลปีใหม่ เพราะเสียงของคำนี้ในภาษาจีนพ้องกับคำว่า “เหลือเฟือ” จึงเชื่อว่าจะทำให้มีเหลือกินเหลือใช้ตลอดทั้งปี และการกินไก่ทั้งตัวโดยไม่ตัดส่วนใดออก ก็จะทำให้ชีวิตครบถ้วนสมบูรณ์และมั่งคั่งอีกด้วย


อิตาลี ความมั่งมีในถั่วเลนทิล ชาวอิตาลีกินถั่วเลนทิลในวันแรกของปีเพราะถั่วเลนทิลมีรูปร่างคล้ายเหรียญเงิน จึงเป็นสิ่งนำความมั่งคั่งร่ำรวยมาให้

อเมริกา ถั่วตาดำกับความร่ำรวย ถั่วตาดำ (Black eyed pea) เป็นอาหารนำโชคของชาวอเมริกัน เพราะเมื่อปรุงสุกแล้ว จะมีสีและลักษณะคล้ายเหรียญเงิน แสดงถึงความร่ำรวย

วันพุธที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2554

10 วิธีจัดการอารมณ์ไม่ดี


1. มองโลกในแง่ดี

เมื่อเรามีความคิดที่ทำให้ซึมเศร้า เช่น "ฉันทำวิชาเลขไม่ได้" ให้คิดใหม่ว่า "ถ้าฉันได้รับความช่วยเหลือที่ถูกต้องฉันก็จะทำได้" แล้วไปหาครู ครูพิเศษ หรือให้เพื่อนช่วยติวให้


2. หาสมุดบันทึกสักเล่มไว้เขียนก่อนเข้านอนทุกวัน

ในสมุดบันทึกเล่มนี้ ห้ามเขียนเรื่องไม่ดี จงเขียนแต่เรื่องดีๆ ที่เกิดขึ้นในวันนั้น ตอนแรกอาจจะยากหน่อย แต่ให้เขียนเรื่องอย่างเช่น มีคนแปลกหน้ายิ้มให้ ถ้าได้ลองตั้งใจทำ มันจะเปลี่ยนความคิดให้เรามองหาแต่เรื่องดีๆ จากการศึกษาพบว่า คนที่คิดฆ่าตัวตายมีอาการดีขึ้นหลังจากเริ่มเขียนบันทึกเรื่องดีๆ ได้เพียงสองสัปดาห์


3. ใช้เวลาอยู่กับคนที่ทำให้เธอหัวเราะได้


4. ใส่ใจกับความรู้สึกของตนเองในเวลาแต่ละช่วงวัน

การตระหนักรู้ถึงอารมณ์ของตัวเองจะทำให้เราจับคู่งานที่เราต้องทำกับระดับ พลังงานในตัวได้อย่างเหมาะสม เช่น ถ้าเรารู้สึกดีที่สุดตอนเช้าแสดงว่าตอนเช้าคือเวลาจัดการกับงานเครียดๆ เช่น ไปเจอเพื่อนที่ทำร้ายจิตใจเรา หรือคุยกับครูที่เราคิดว่าให้เกรดเราผิด ถ้าปรกติเราหมดแรงตอนบ่าย ให้เก็บเวลาช่วงนั้นเอาไว้ทำกิจกรรมที่ไม่ต้องใช้พลังทางอารมณ์มาก เช่น อ่านหนังสือหรืออยู่กับเพื่อน อย่าทำอะไรเครียดๆ เวลาเหนื่อยหรือเครียด


5. สังเกตอารมณ์ตัวเองในเวลาช่วงต่างๆ ของเดือน

ผู้หญิงบางคนพบว่า ช่วงเวลาที่ตัวเองอารมณ์ไม่ดีสัมพันธ์กับรอบเดือน


6. ออกกำลังกาย

การออกกำลังกายช่วยให้เราแข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ การออกกำลังกายอย่างน้อยแค่วันละ 20 นาที สามารถทำให้รู้สึกสงบและมีความสุขได้ การออกกำลังจะช่วยเพิ่มการผลิตเอ็นดอร์ฟีนของร่างกายด้วย เอ็นดอร์ฟีนเป็นสารเคมีในร่างกาย ที่ทำให้เกิดความรู้สึกดีและมีความสุขตามธรรมชาติโดยไม่ต้องพึ่งยาเสพติด


7. รู้จักไตร่ตรองแยกแยะ


8. ฟังเพลง

งานวิจัยชิ้นหนึ่งพบว่า จังหวะของเสียงเพลงช่วยจัดระเบียบความคิดและความรู้สึกมั่นคงภายในจิตใจ และช่วยลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ


9. โทรหาเพื่อน

การขอความช่วยเหลือทำให้คนเรารู้สึกผูกพันกับคนอื่นและรู้สึกโดดเดี่ยวน้อยลง และการโอบกอดช่วยให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนที่ทำให้รู้สึกดีออกมา ซึ่ง
จะช่วยให้เรารับมือกับอารมณ์ได้


10. อยู่ท่ามกลางคนที่มีความสุข

อารมณ์ดีเป็นโรคติดต่อที่แพร่ได้เร็วมา เราจะเลียนแบบสีหน้า การแสดงออก กล้ามเนื้อ ท่าทาง รูปแบบการพูด เพื่อให้เข้ากับคนที่เราอยู่ด้วยโดยที่เราไม่รู้ตัว

วันจันทร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2554

คลายเครียด ด้วยการดื่มน้ำ


ความเครียดจะส่งผลต่อการหลั่งฮอร์โมนหลายชนิด ฮอร์โมนเหล่านี้จะเพิ่มปริมาณความเข้มข้นมากขึ้นจนกว่าความเครียดจะหายไป ด้วยเหตุที่ร่างกายไม่สามารถแยกแยะชนิดของความเครียดได้ จึงหลั่ง ฮอร์โมนต่างๆ ออกมามากเกินไป ทำให้ร่างกาย สูญเสียน้ำฮอร์โมนต่อไปนี้ เป็นส่วนหนึ่งที่ร่างกายหลั่งออกมาในปริมาณมาก เมื่อเกิดความเครียด

เอนดอร์ฟินส์
(Endorphins) ฮอร์โมนกลุ่มนี้จะถูกหลั่งออกจากต่อมพิทูอิทารี (ต่อมใต้สมอง) การหลั่งฮอร์โมนกลุ่มนี้ ออกมามากเกินไปจะทำให้ มีผลทำให้เกิดความผิดพลาดในการตอบสนองต่อความเจ็บปวดของร่างกาย

คอร์ติโซน (Cortisone)
เป็นสารประกอบที่สังเคราะห์ขึ้นที่ภายในตับ การปล่อยให้มีการหลั่งคอร์ติโซนออกมาเป็นระยะเวลานานๆ จะมีผลทำให้อาหารและน้ำที่สำรองไว้ในร่างกายลดลงอย่างมาก

โปรแลคติน (Prolactin)
เป็นฮอร์โมนที่หลั่งออกจากต่อมพิทูอิทารี มีหน้าที่ช่วยการสร้างน้ำนมหลังการคลอดลูก ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า การหลั่งโปรแลกตินออกมาในปริมาณมากเป็นระยะเวลานาน สามารถก่อให้เกิดเนื้องอกในเต้านมของหนูทดลองได้ นักวิชาการทางการแพทย์บางรายเชื่อว่า ในกลุ่มผู้หญิงที่มีการหลั่งฮอร์โมนโปรแลกตินเพิ่มมากขึ้นเนื่องมาจากภาวะขาดน้ำเรื้อรัง จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดเนื้องอกในเต้านม

วาโสเพรสซิน
(Vasopressin) เป็นกลุ่มฮอรโมนที่หลั่งจากต่อมพิทูอิทารี มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการจัดสรรปันส่วนน้ำตามลำดับความสำคัญของอวัยวะ ในกรณีที่เกิดภาวะขาดน้ำ เซลล์ประสาทจะสร้างวาโสเพรสซินมากว่าเซลล์อื่นๆของร่างกาย

ความเครียด ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น คอเลสเตอรอลสูงขึ้น
ภูมิคุ้มกันอ่อนแอกล้ามเนื้ออ่อนแรง ทำให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ดังนั้นเวลาเครียด ลองดื่มน้ำสักสองแก้ว แล้วคลายเครียดโดยการพักผ่อน หรือออกกำลังกาย ให้ออกมาจากสถานการณ์ที่ทำให้เครียด จะทำให้ร่างกายผ่อนคลายได้ดีและสุขภาพดีขึ้น

วันศุกร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2553

น้ำชา "tea time" ?


ชนชั้นแรงงานในชนบทของประเทศอังกฤษเลิกงานราวหกโมงเย็น แล้วจึงรับประทานอาหารมื้อใหญ่ของวัน โดยทั่วไปอาหารมื้อใหญ่ประกอบด้วยเนื้อที่ปรุงจนเปื่อยเหลว ใช้ทาบนขนมปัง ซึ่งเรียกกันว่า potted meat (แน่นอนพวกเขาไม่มี เงินมากพอจะกินสเต็กชิ้นโต) นอกจากเนื้อ ก็มีปลา เนยแข็ง สลัด ของหวาน และที่ขาดไม่ได้ก็คือ ชา อาหารในลักษณะนี้แหละที่เรียกกันว่า "high tea"


ส่วน "low tea" ซึ่งยังคงดำรงอยู่ทุกวันนี้ในฐานะเป็นเวลาน้ำชาตามธรรมเนียมของคนอังกฤษ คือ เวลาบ่ายสี่โมง ดัชเชสแห่งเบดฟอร์ดได้รับเครดิตว่าเป็นผู้ริเริ่มธรรมเนียมปฏิบัตินี้เป็นคนแรก ในราวปี ค.ศ. ๑๘๔๐ หรือเมื่อกว่า ๑๖๐ ปีมาแล้วท่านดัชเชสได้เริ่มรับประทานน้ำชากับของว่างเบา ๆ ตอนบ่ายสี่โมงเพื่อขับไล่ "ความรู้สึกโหย" ที่คนมักจะเป็นในช่วงบ่ายแก่ ๆ และเนื่องจากพวกชนชั้นสูงรับประทานอาหารมื้อค่ำดึกมาก

ธรรมเนียมปฏิบัติของดัชเชสแห่งเบดฟอร์ดจึงนิยมแพร่หลายไปทั่วประเทศอังกฤษ และได้กลายเป็นหนึ่งในจำนวนธรรมเนียม "ศักดิ์สิทธิ์" ที่สุดของชาวอังกฤษ


โดยข้อเท็จจริงชาวไอริชเป็นผู้บริโภคน้ำชารายใหญ่ที่สุด แซงหน้าชาวอังกฤษเสียด้วยซ้ำ ที่น่าประหลาดใจคือชาวกาตาร์นิยมดื่มชากันมากเป็นอันดับสาม รองลงมาคือ ชาวตุรกี ฮ่องกง และอิหร่านตามลำดับ

วันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

9 นิสัยคุมน้ำหนักเพื่อสุขภาพ

9 วิธีง่ายๆ ที่บรรดาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการหลายคน แนะนำเกี่ยวกับเรื่องการควบคุมอาหาร และความเครียดเพื่อให้การลดน้ำหนักของคุณได้ผลอย่างแท้จริง และยั่งยืนมีอะไรบ้าง

1. ความเครียด หากคิดจะลดความอ้วนต้องข่มใจไว้อย่าให้เกิดภาวะเครียดขึ้น เพราะเมื่อเราเครียดทั้งจากเครียดทางร่างกาย เช่น ทำงานหนัก พักผ่อนไม่เพียงพอ รวมไปถึงเครียดจากสภาวะอารมณ์ของตัวเอง ร่างกายจะผลิตฮอร์โมน (Hormone) ที่ชื่อว่า “Cortisol” เพื่อมารับมือกับความเครียด (บางตำราจึงตั้งชื่อให้ว่า ฮอร์โมนเครียด”) ซึ่งผลจากการผลิตฮอร์โมน Cortisol นี้ จะส่งผลให้ระบบในร่างกายเพิ่มการไหลเวียนของกลูโคส โปรตีน และไขมัน รวมถึงส่งสัญญาณไปยังสมองเพื่อกระตุ้นร่างกายให้หิว จึงเป็นเหตุผลที่ว่าผู้ต้องการลดความอ้วนไม่ควรที่จะเครียด

ด้านนายแพทย์ Jacob Seidel แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ จากเมืองBilthon ประเทศเนเธอร์แลนด์ ให้คำแนะนำกับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก แต่มักมีภาวะเครียดว่า หากรู้สึกเครียดหรือหงุดหงิดใจ ให้ฝึกสมาธิโดยการหายใจเข้าลึกๆ แล้วค่อยผ่อนออกสัก 5-10 นาที ก็จะช่วยบรรเทาสภาวะความเครียดได้ หรือแม้ไม่เครียดแต่อยากผ่อนคลายความเครียดให้กับตัวเอง ก็ฝึกสมาธิด้วยการหายใจอย่างนี้สักวันละ 5-10 นาที ก็จะทำให้สุขภาพกายสุขภาพจิตดีขึ้นได้

2. หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลล์ การดื่มไวน์หรือเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอลล์ (Alcohol) หลังอาหารมื้อเย็น เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้จู่ๆ กางเกงยีนส์ตัวโปรดของคุณที่ใส่เป็นประจำ..คับไปซะอย่างนั้น เพราะแอลกอฮอล์ลจะเข้าไปกระตุ้นให้ร่างกายเพิ่มระดับ ฮอร์โมนเครียด “Cortisol” มีสูงขึ้น จนส่งผลให้คุณหิวง่าย และเกิดภาวะอ้วนนั่นเอง หมอ Seidel แนะนำ

3. หยุดสูบบุหรี่ หมอ Seidel ระบุ..แม้จะไม่มีรายงานการวิจัยที่ชัดเจนว่า คนที่สูบบุหรี่จะอ้วนกว่าคนที่ไม่สูบบุหรี่ แต่บ่อยครั้งมีการพบว่า เมื่อผู้สูบบุหรี่หยุดหรือลดการสูบบุหรี่ลง ไขมันที่หน้าท้องของเขาจะเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังพบว่าการสูบบุหรี่ยังทำให้ร่างกายเกิดภาวะเครียด และกระตุ้นการผลิตฮอร์โมน Cortisol ด้วย

4. กินอาหารที่มีเส้นใย การกินอาหารที่มีเส้นใยสูง (fiber)ไม่ใช่แค่ทำให้ ควบคุมหรือลดน้ำหนักได้เท่านั้น แต่ยังช่วยในเรื่องระบบขับถ่ายให้เป็นปกติ ลดอาการท้องผูกได้ด้วย J. Cheskin ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมน้ำหนัก จากมหาวิทยาลัย Johns Hopkins ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้แนะนำว่า ร่างกายควรได้รับปริมาณเส้นใยอาหารจากธัญพืช ผลไม้และผัก ประมาณ 22-25 กรัมต่อวัน

5. ดื่มน้ำมากๆ การควบคุมน้ำหนักควรดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย อย่าปล่อยให้กระหายหรือร่างกายขาดน้ำอย่างเด็ดขาด ดังนั้นความเชื่อที่ว่า การดื่มน้ำจะทำให้ตัวพองอ้วน จึงเป็นความเชื่อที่ผิด

6. รักษากระดูกให้แข็งแรง สำหรับเรื่องนี้ Willibald Nagler อดีตหัวหน้านักโชนาการจากโรงพยาบาล New York Hospital-Cornell Medical Center ประเทศสหรัฐอเมริกา แนะนำว่า คนที่ลดความอ้วนอาจมีปัจจัยเสี่ยงที่เกิดมาจากควบคุมอาหาร ที่ทำให้ในอนาคตอาจเกิดภาวะกระดูกพรุน กระดูกหัก และแตกได้ง่าย ดังนั้นจึงควรดูแลร่างกายให้ได้รับแคลเซียม (Calcium) ให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย โดยการรับประทานอาหารที่มีแคลเซียม เช่น ผัก นม หรือกินอาหารเสริมแคลเซียม เช่น แคลเซียมชนิดเม็ด

7. ทำหัวใจให้แข็งแรง การออกกำลังกายเพื่อกระตุ้นให้หัวใจแข็งแรง โดยวิธีการบริหารกล้ามเนื้อหัวใจที่ดีที่สุด ก็คือ การออกกำลังกายด้วยการเต้นแอโรบิค (aerobic) 45-60 นาทีต่อสัปดาห์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกกำลังกายหลายคนจึงแนะนำให้คนเคยอ้วน ที่ส่วนใหญ่มักมีปัญหาด้านหัวใจ เช่น เหนื่อยง่าย หัวใจเต้นผิดปกติ ออกกำลังกายด้วยแอโรบิค

8. ฝึกการหายใจ ควรฝึกหายใจให้ถูกหลักการวิธีง่ายๆ คือ เมื่อหายใจเข้าท้อง พุงจะต้องป่อง และจะยุบเมื่อเราหายใจออก หากใครยังไม่ชิน มีเวลาว่างก็ควรฝึกฝนไปเรื่อยๆ จนร่างกายชินและทำได้โดยอัตโนมัติ เพราะการหายใจที่ถูกวิธีถือเป็นการช่วยเพิ่มปริมาณออกซิเจนให้แก่เลือด เลือดดีจึงสามารถเข้าไปเลี้ยงกล้ามเนื้อได้ดี และยิ่งกล้ามเนื้อดีเท่าไร ระบบเผาผลาญไขมันของเราจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นเท่านั้น การหายใจถูกวิธีจึงถือเป็นการช่วยลดความอ้วนได้อีกทางหนึ่ง

9. ให้รางวัลพิเศษกับตัวเอง การให้โบนัส (bonus) กับตัวเองที่สามารถลดความอ้วนได้ ไม่ใช่การกินทุกอย่างตามใจตัวเอง หลังอดอยากปากแห้งกับการลดน้ำหนักมานานหรอกนะ แต่ควรให้โบนัสโดยการควบคุมน้ำหนัก, สัดส่วน และความสมดุลของร่างกายไว้ให้คงที่ รวมถึงการหมั่นฝึกบุคลิกภาพของตัวเองให้ดูดีอยู่เสมอ เช่น นั่งตัวตรง ยืน หรือเดินหลังตรง สง่าผ่าเผย เพราะไม่ใช่แค่การมีรูปร่างผอมเพรียว แล้วจะดูดีไปเสียทุกอย่าง คนผอมหุ่นเฟอร์เฟค (perfect) แต่บุคลิกไม่ดี ก็คงไม่ไหว

วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

กินของหวาน อย่างไรไม่อ้วน

สาวๆ หลายคนชอบกินขนมเป็นชีวิตจิตใจ แต่จะกินอย่างไรถึงจะรักษารูปร่างได้เพรียวสวย เรามีเคล็ดวิธีเลือกกินของหวาน ด้วยเคล็ดลับง่ายๆ ที่สามารถทำได้ไม่ยากมาบอกต่อค่ะ

รู้ปริมาณแคลอรี ก่อนกินควรอ่านปริมาณแคลอรีในขนม โดยดูจากฉลากแสดงข้อมูลโภชนาการข้างกล่อง หากเป็นไปได้ควรเลือกกินหรือซื้อชนิดที่มีไขมันเป็นส่วนประกอบน้อยที่สุด

ลดแคลอรี การตัดน้ำตาล ครีม ออกจากขนมก่อนกิน เช่น เกลี่ยน้ำตาลไอซิ่งที่โรยหน้าขนมปังออก หรือไม่ใส่กะทิในขนมหวาน จะลดพลังงานได้ถึง 81- 150 แคลอรี หรือเกลี่ยครีมหน้าขนมเค้กออก ลดพลังงานได้ถึง 160 แคลอรี

ควบคุมสัดส่วนการกิน กินอย่างละนิดพอให้รู้รสชาติ เช่น คุกกี้ 1-2 ชิ้น เค้ก 1 ส่วน 4/ชิ้นเล็ก ไอศกรีม 1 ลูก คุณจะได้ชิมรสขนมทั้งหมดโดยได้แคลอรีเพียงครึ่งเดียว

ดื่มชาเขียวหรือกาแฟร้อนหลังมื้อขนม กาเฟอีนจะช่วยกระตุ้นการเผาผลาญพลังงาน หากต้องการเพิ่มรสชาติให้ใส่น้ำตาลเทียมแทน

15 นาที หลังกินขนมหวานเสร็จอย่านั่งอยู่กับที่ ออกไปเดินเล่นรอบบ้านๆ ประมาณ 15 นาที วิธีนี้นอกจากจะช่วยย่อยแล้ว ยังป้องกันไม่ให้ไขมันสะสมที่หน้าท้อง ต้นขา และสะโพกได้อีกด้วย

30 นาที หลังกินของหวาน 5 ชั่วโมง ควรออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาที เพื่อกำจัดแป้งและน้ำตาลก่อนกลายเป็นไขมันสะสมตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยก่อนและหลังออกกำลังกายควรดื่มชาเขียวร้อนหรือน้ำอุ่นเพื่อเสริมระบบเผา ผลาญควบคู่ไปด้วย

งดแป้งและน้ำตาลในวันรุ่งขึ้น มื้อเช้าและกลางวันเน้นผัก 80% โปรตีน 20% ส่วนมื้อเย็นให้กินผักผลไม้สดและดื่มน้ำเปล่าทั้งวัน