วันพุธที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2552
Moi-Même
- Je suis confiante, ambitieuse , gaie , curieuse et affectueuse
- Je n'aime pas les gens qui sont timide , agressive , méfiante , nerveuse et vulnérable
- Je suis confiante , ambitieuse et curieuse
วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2552
ครู 2
จู่ ๆ ฉันก็นั่งคิด...คิดถึงความแตกต่างของคำว่า " ครู " กับ " อาจารย์ " สองคำ เผินๆ ไม่คิดอะไรให้มากดูเหมือนจะไม่มีความแตกต่างทางความหมาย แต่ในความรู้สึกของฉันนั้น ... ฉันคิดว่าแตกต่างกันในความขลัง ความน่าเชื่อถือ ... ความเคารพนบนอบ ... และความรู้ที่ถ่ายทอด
ฉันเรียกอาจารย์ที่สอนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยว่าอาจารย์.. แต่เรียกครูที่สอนตั้งแต่อนุบาลยันมัธยมปลายว่าคุณครู แต่ก็มีนะบางคนที่ฉันก็จะเรียกว่าอาจารย์... ทำไม ?? ไม่รู้... อาจจะเพราะ " เกียรติ " กระมัง แต่สำหรับฉันคำว่าคุณครู คือ ฉันได้มอบเกียรติขั้นสูงสุดให้นั่นเลย อาจารย์สำหรับฉัน เปรียบเสมือน คนที่มากางหนังสือหน้าต่อหน้า ... พูด ๆ ๆ ๆ เราก็นั่งจดตาม ๆ ๆ ๆ พอหมดชั่วโมงก็แยกกันไป ได้อะไรจากในห้องที่เกาะติดสมองมาบ้างมั้ย ไม่สำคัญ .. เพราะจดอยู่ในสมุด
" คุณครู " ของฉัน ที่ให้เกียรติว่าสำคัญและฟังดูขลังกว่า... เพราะครู คือใครก็ได้ ที่สามารถถ่ายทอดความรู้จากประสบการณ์.. จากเรื่องราวที่บันทึกในสามัญสำนึก จากวันเวลาที่ท่านได้ผ่าน หรือ .. อาจจะอ่านมาจากหนังสือหรือได้ลงมือปฏิบัติมาแล้ว ... แต่ครู จะถ่ายทอดความรู้เหล่านั้นออกมา เพื่อจะสั่งสอนให้ศิษย์ได้รู้... รู้ที่ไม่ได้หมายถึง ต้องทบทวนจากหนังสือเมื่อคราวความใคร่รู้รุมเร้า แต่รู้ได้ โดยจดจำบันทึกไว้ในสมอง และรู้อย่างถูกต้องแตกฉาน
พ่อแม่..ครูคนแรกของลูก ... ถ้าอยู่กับปู่ย่าตายาย..ปู่ย่าตายายก็เป็นครูคนแรกของหลาน.. พ่อแม่ ไม่จำเป็นต้องเรียนจบฝึกหัดครู เพื่อที่จะเป็นครู..ปู่ย่าตายายก็เช่นกัน... พ่อแม่ เพียงได้ถ่ายทอดความรู้จริงถูกต้องให้กับลูก..สั่งสอนลูก.. บอกผิดหรือถูกและแนะแนวทางที่ถูกที่ควรให้ลูก..พ่อแม่ก็ คือ ครู ในลักษณะเดียวกัน..นั้น แม้กระทั่งหนังสือซักเล่มที่ให้ความชัดเจนก็เป็นครู
ในซอยบ้าน..ลุงมอเตอร์ไซค์รับจ้าง .. ใช้เวลาช่วงเย็นของทุกวันเป็นครู..ลุงเรียนจบ ม.6 รับจ้างสอนพิเศษเด็กๆ ประถม หลังเลิกเรียน ดูแลรวมถึงอบรม เด็กเกเรหลายคนไปเรียนแล้วติดใจ ในความใจดี โอบอ้อม และในวันว่างลุงก็สอนเด็กทำของเล่นจากวัสดุ..สอนจนเด็กทำเป็น... ทำเล่นกันเป็นที่สนุกสนาน พ่อแม่ก็วางใจลูกกลับจากโรงเรียนมา.. ไม่ได้ออกไปวิ่งเล่นกลางถนน หรือแอบหลบไปทำตัวนอกลู่ที่ไหน
ป้าอีกคน...อาชีพหลักทำสวน อาชีพรองทำขนมหวานส่งตามบ้านงาน ป้าคนนี้เรียนแค่ ป.4 ความรู้ตามวุฒิบัตรเรียนมาแค่นั้น ... แต่ความรู้โดยประสบการณ์มีเต็มเปี่ยม... ช่วงระบบบูรณาการกำลังเห่อกันใหม่ๆ..ป้าแกก็เป็นครู ... มีเด็กนักเรียนประถมแวะเวียนไปเยือน เรียนรู้จักกันตั้งแต่ต้นหญ้า สารพัดชนิด ยันไม้ผลรอบๆ สวน...รู้จักดิน รู้จักน้ำ รู้จักสภาพอากาศ ร้อนเย็นฝนชุกอะไร พืชพันธุ์แบบไหนชอบไม่ชอบ... ป้าถ่ายทอดความรู้จริงอย่างหมดเปลือกให้เด็กๆ ... วันไหนว่างป้าแกยังแถมสอนวิชาขนมไทย วุ้นมะพร้าว ... ข้าวตัมน้ำวุ้น ... ขนมชั้น ... เด็กแวะไปเมื่อไหร่ก็ได้ความรู้เมื่อนั้น ไม่เคยจะบ่ายเบี่ยงเกี่ยงงอน ฉันยังเคยไปนั่งห่อข้าวต้มน้ำวุ้นที่บ้านแกเลย
" ครู " มีความขลัง เพราะความเต็มใจจะถ่ายทอดความรู้ ไม่ใช่ เพราะทำเพียงเพื่อเห็นเป็นหน้าที่...แต่ทำเพราะตั้งใจที่จะทำ แม้ในความเป็นวิชาชีพ .. ตัวอย่างที่ฉันเล่ามาเหล่านั้นไม่ได้มีอาชีพครู แต่นักเรียนหรือลูกศิษย์ ต่างๆก็เต็มใจจะเรียกว่า ครู ... เพราะความรู้ต่างๆที่ได้รับ..ถ่ายทอดมาจากจิตวิญญาณ...
ครู1
การเป็นครูนั้นไซร้ไม่ลำบาก
แต่สอนดีนั้นยากเป็นนักหนา
เพราะต้องใช้ศิลปวิทยา
อีกมีความเมตตาอยู่ในใจ
หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล
กว่าจะมาเป็นครู
การที่จะมาเป็นครูนั้น การที่สอบเข้าเรียนในสาขาอาชีพครูนั้นไม่ได้ยากลำบากเมื่อเทียบกับแพทย์ ทันตะและก็เภสัช หรือไม่ก็วิศวะ แต่เรื่องของการที่จะเข้าศึกษาในสาขาวิชาชีพครูนั้นมันขึ้นอยู่กับคำว่า จิตใจ ว่ารักในวิชาชีพครูมากแค่ไหนและสามารถทุ่มเทเวลาได้แค่ไหน เพราะ ครู คือ เบื้องหลังของความสำเร็จของนักเรียน การศึกษาในวิชาชีพครูระดับปริญญาตรีนั้น ต้องใช้เวลาเรียนทั้งหมด 5 ปีการศึกษา เมื่อจบออกมาแล้วก็จะได้รับใบประกอบวิชาชีพครู ซึ่งจะสามารถสอนนักเรียนในโรงเรียนได้ ระยะเวลาตลอด 5 ปีการศึกษาเค้าเรียนอะไรกันมั่งนะมาดูกัน
ชั้นปีที่1 - 4 จะเป็นการเรียนเนื้อหาล้วนๆ บวกกับวิชาที่มีการปฏิบัติบ้างเช่นมีการสังเกตการในโรงเรียน หรือ วิชาที่เป็นหลักสูตรและการสอน รวมถึงวิชาหมวดศึกษาทั่วไปและวิชาหมวดวิชาเอก
ชั้นปีที่ 5 จะเป็นการปฏิบัติการสอนในสถานศึกษา
ความหมายของครู
ครู หมายถึง ผู้อบรมสั่งสอน ผู้ถ่ายทอดความรู้ ผู้สร้างสรรค์ ภูมิปัญญา และพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อนำไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง ของสังคมและประเทศชาติ
ภารกิจแต่ละวันของอาชีพครู
แน่นอนผู้ที่เป็นครูต้องมาโรงเรียนแต่เช้า 7 โมงเช้าก็มาโรงเรียน(มาเร็วกว่าเด็กนักเรียนอีก)และก็16.30น. ก็เป็นเวลาเลิกงาน แต่จริงๆแล้วมันก็ต้องช้ากว่านั้นเพราะครูต้องคอยดูแลการสอนซ่อมเสริมให้กับนักเรียนที่เรียนไม่เข้าใจ ต้องมีการคุมแถวในตอนเช้า สอนหนังสือ อบรมสั่งสอน ให้คำปรึกษาและธุระอีกจิปาถะกับนักเรียน นอกจากนั้นยังต้องเตรียมการสอนและการซ่อมเสริมนักเรียนอีก แต่ยังโชคดีนะที่อาชีพครูเป็นอาชีพเดียวที่มีคำว่า “ปิดเทอม” และก็ยังได้รับเงินเดือนอีกด้วย อาชีพครูนี่แหละคือ...เบื้องหลังของความสำเร็จโดยแท้จริง
ค่าตอบแทนของครู
คนส่วนใหญ่คิดว่าเงินเดือนครูที่ได้แต่ละเดือนนั้นมันไม่พอกินพอใช้และก็น้อยมากเมื่อเทียบกับอาชีพอื่นๆ แต่ที่จริงแล้วครูที่ได้รับการบรรจุในตอนแรกเงินเดือนจะได้น้อยอยู่ก็จริงแต่เมื่อทำงานไปเรื่อยๆเงินเดือนก็จะเพิ่มขึ้น นอกจากนั้นหากขยันทำผลงานเช่นเมื่อทำอาจารย์ 3 ก็จะได้รับเงินประจำตำแหน่ง นี่ยังไม่รวมถึงสวัสดิการต่างๆเช่นค่ารักษาพยาบาล รับรองว่าเป็นครูไม่อดตาย แน่นอน
อุปกรณ์ที่ครูขาดไม่ได้
1. ชอล์กและกระดานดำ อุปกรณ์หากินหลักของอาชีพครูแบบว่าขาดไม่ได้ครูจะขาดใจ เพราะว่าเค้าคู่กัน
2. ปากกาแดง อุปกรณ์ตรวจการบ้านที่ดูคลาสสิกที่สุด เพราะสามารถเห็นสีของมันได้ไกลประมาณหลายเมตร มันเป็นสิ่งที่คอยให้กำลังใจ(ครูเขียนชม) สิ่งที่น่ากลัว(เวลาตรวจข้อสอบ)
3. ไม้เรียว แม้ว่ากระทรวงศึกษาธิการจะยกเลิกไม้เรียวไปแล้ว แต่เมื่อพูดถึงมันทีไรก็ต้องคิดถึงครูทันทีเลย(โหย เสียว...)
คุณสมบัติในการก้าวสู่อาชีพครู
1. ต้องมีใจรักที่จะประกอบอาชีพครู มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีต่อบุคคลทั่วไป
2. ต้องมีความอดทน มีเมตตากรุณา มีเหตุผล มีเวลาเอาใจใส่อบรมสั่งสอนนักเรียน เป็นผู้ที่มีความประพฤติดีอยู่ในกรอบศีลธรรมจรรยา
3. ต้องเป็นผู้ที่ใฝ่รู้ใฝ่เรียน มีความคิดสร้างสรรค์และต้องรู้จักหลักจิตวิทยาเด็ก
4. ต้องเป็นครูที่ดีมากว่าครูที่เก่ง แต่ถ้าเป็นครูที่ดีด้วยและครูที่เก่งด้วยนี่ดีที่สุด
คำแนะนำของคนที่อยากจะเป็นครู
คนที่อยากจะเข้ามาศึกษาในสาขาวิชาชีครูนั้นต้องเป็นผู้ที่มีความประพฤติที่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาเป็นอย่างดี นอกจากนั้นต้องเป็นผู้ที่ใฝ่รู้ใฝ่เรียนอยู่เสมอ และมีใจรักที่จะประกอบอาชีพครูด้วย เนื่องจากผู้ที่เรียนในสาขาวิชาชีพครูนั้นต้องตระหนักว่าเมื่อเรียนจบออกไปแล้วจะต้องประกอบอาชีพครูที่มีคุณภาพเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาของประเทศไทยให้สูงขึ้น ดังนั้นภารกิจของครูจึงไม่ได้มุ่งเน้นที่เนื้อหาเพียงอย่างเดียวแต่ยังจะต้องอบรมสั่งสอนให้ศิษย์เป็นคนดีอีกด้วย
ทำยังไงถึงจะได้เรียนครู
การที่จะเข้ามาศึกษาในหลักสูตรวิชาชีพครูนั้นมีหลายสถาบันที่เปิดสอนแต่ส่วนมากจะต้องผ่านการสอบแอดมิสชั่น ตามสัดส่วนวิชาต่างๆดังนี้
1. GPAX 10 %
2. GPA กลุ่มสาระ 20 % ดังนี้
2.1 ไทย 4 %
2.2 สังคม 4 %
2.3 ภาษาต่างประเทศ 4 %
2.4 คณิต 4 %
2.5 วิทย์ 4 %3.
O-NET 40 % ดังนี้
3.1 รหัส 01 ภาษาไทย 8 %
3.2 รหัส 02 สังคม 8 %
3.3 รหัส 03 ภาษาอังกฤษ 8 %
3.4 รหัส 04 คณิตศาสตร์ 8 %
3.5 รหัส 05 วิทยาศาสตร์ 8 %
4. A-NET 30 % ดังนี้
4.1 วิชาเอก/วิชาเฉพาะไม่เกิน 2 วิชาวิชาละ 10 % ถ้าวิชาเดียว 20 % (รหัส11-15/31-38/40-47)
4.2 รหัส 39 ความถนัดทางวิชาชีพครู 10 %
วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2552
ความรู้รอบตัวที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน
2.ผีเสื้อบินด้วยความเร็ว 20 ไมล์ต่อชั่วโมง...
3.เส้นผมคนรับน้ำหนักได้ 3 กิโลกรัม...
4.เสียงกรนที่ดังที่สุดดังถึง 87.5 เดซิเบลล์
5.พอล แมคคาร์ที เป็นเจ้าของลิขสิทธิเพลงแฮปปี้เบิร์ดเดย์ ถ้าจะนำมาออกรายการต้องซื้อลิขสิทธิก่อน...
6.เหรียญทองโอลิมปิกต้องมีแร่เงินผสมอยู่ 92.5 เปอร์เซนต์...
7.หอเอนเมืองปิซาเอนไปทางใต้...
8.กษัตริย์หลุยส์ที่ 14 อาบน้ำทั้งหมด 3ครั้งในชีวิต...
9.ฮิตเลอร์แสกผมข้างซ้าย...
10.ผู้หญิงที่เกาะฮาวายที่ทัดดอกไม้ที่หูข้างซ้าย แสดงว่ามีเจ้าของแล้ว...
11.เราไม่สามารถฆ่าตัวตายด้วยการกลั้นหายใจได้...
12.ผู้หญิง 3.9 เปอร์เซนต์ไม่ชอบใส่กางเกงใน...
13.ฮิปโปผายลมทางปาก...
14.ประเทศซาอุดิอราเบียไม่มีแม่น้ำ...
15.กังหันทั้งโลกหมุนทวนเข็มนาฬิกา ยกเว้นที่ไอร์แลนด์...
16.เด็กนักเรียนอายุ15 ปีขึ้นไปในบังคลาเทศจะถูกจับเข้าคุกถ้า"โกงข้อสอบ"...
17.ปลาที่อาศัยในน้ำลึกเกิน 800 เมตร จะไม่มีตา...
18.ผมคนเราจะร่วงประมาณ 200 เส้นต่อวัน...
19.ตัว"โอ"เป็นสระที่เก่าแก่ที่สุดในอังกฤษ...
20.คนพูดประมาณ 120 คำต่อนาที
21.ฝ่ามือและฝ่าเท้าของคนเราไม่สามารถไหม้ได้...
22.อูฐสามารถหมุนหัว 180 องศา
23.ถ้าปลาไหลไฟฟ้าอยู่ในน้ำเค็ม จะถูกช็อตตาย...
24.ขั้นบันไดในไทยจะเป็นเลขคี่...
25.เจ้าฟ้าชายชาลส์ชอบสะสมฝาโถส้วม...
26.คนมีโอกาสตายจากผึ้งต่อยมากกว่างูกัด...
27.ประเทศวาติกันมีประชากรประมาณ 1000 คน
28.เมื่อคุณจาม หัวใจคุณจะหยุดเต้นเสี้ยววินาที
29.มันเปนไปมะได้อ่ะคับ ถ้าคุณจะจามโดยไม่หลับตา
30.เดิมโคคาโคล่าเป็นสีเขียว
31.ชื่อที่โหลที่สุดในโลกคือ Mohammed
32.กล้ามเนื้อที่แข็งแรงที่สุดในร่างกายคือลิ้น
33.แต่ละโพหลังไพ่ แสดงถึงกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่จากประวัติศาสตร์ - โพดำกษัตริย์เดวิด - ดอกจิก อเล็กซานเดอร์มหาราช - โพหัวใจ ชาร์ล เลอ มาญ - ข้าวหลามตัด จูเลียส ซีซาร์
34. อนุสาวรีย์ของใครสักคนที่อยู่บนหลังม้า และม้ายกสองขาขึ้นบนอากาศแปลว่าคนนั้นตายในสงคราม
35.ถ้าม้ายกขาข้าเดียวแปลว่า เขาบาดเจ็บในสงคราม และตายจากการบาดเจ็บนั้น
วันอังคารที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2552
เตือนfacebookเสี่ยงต่อชีวิต
ประธานาธิบดี บารัก โอบามา ของสหรัฐ ได้กล่าวเตือนบรรดาวัยรุ่นอเมริกัน ในระหว่างการเข้าร่วมกิจกรรมตอบคำถามกับนักเรียนอายุ 14-15 ปี วานนี้ว่า การใส่ข้อมูลส่วนตัวมากเกินไป ในเว็บไซต์เครือข่ายสังคมบนอินเทอร์เน็ต อาจจะเกิดอันตราย และส่งผลกระทบต่อชีวิตในอนาคต
“ผมอยากให้พวกคุณระมัดระวังตัวในการเขียนข้อความลงเฟซบุ๊ก เพราะในโลกแห่งยูทูบ อะไรก็ตามที่พวกคุณได้ทำไว้ จะถูกดึงขึ้นมาตรวจสอบอีกครั้งเมื่อไรก็ได้ในอนาคต” โอบามา กล่าว
นอกจากนี้ ผู้นำสหรัฐยังย้ำด้วยว่า ความผิดพลาด และเรื่องเหลวไหลในอดีตที่ก่อไว้เมื่อยังเด็ก จะมีผลกระทบโดยตรงเมื่อไปสมัครงาน เมื่อมีใครบางคนได้ตรวจพบข้อมูลเหล่านั้น
ถ้อยแถลงของประธานาธิบดีสหรัฐมีขึ้นหลังจากที่มีผลการศึกษาล่าสุดแนะนำว่า บรรดานายจ้างทั่วสหรัฐกำลังใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ อาทิ เฟซบุ๊ก และมายสเปซ เข้าไปตรวจสอบภูมิหลังของผู้สมัครงานในบริษัทของตนมากขึ้น
ในผลการสำรวจเมื่อเดือนมิ.ย. โดยเว็บไซต์เพื่อการสร้างงานในสหรัฐ พบว่า นายจ้างราว 45% ได้เข้าไปในเว็บไซต์เฟซบุ๊ก เพื่อตรวจสอบผู้สมัครงาน
ขณะที่นายจ้างอีกราว 35% ของผลการสำรวจ เปิดเผยว่า ข้อความและเนื้อหาในเว็บไซต์ที่พบ มีส่วนช่วยใหเกิดการปฏิเสธไม่รับบุคคลเข้าทำงาน ตัวอย่างเช่นการโพสต์รูปภาพที่ไม่เหมาะสม ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติการใช้สารเสพติด หรือดื่มแอลกอฮอล์ หรือแม้แต่การพูดนินทาอย่างหยาบคายต่อบรรดานายจ้าง ผู้ร่วมงาน และลูกค้าก่อนหน้านี้
สิ่งดีๆที่มากกว่า "เพื่อน"
แล้วคุณละ เห็นว่าเพื่อนของคุณเป็นคนแบบไหน
มีอะไรที่ค้างคาใจก็ควรที่จะบอกกันออกไปตรงๆ
แล้วกับคุณละ เพื่อนสำคัญมากมายขนาดไหน
เคยตอบคำถามจากใจตัวเอง หรือเปล่าหาคำตอบให้ได้
ก่อนที่ คนๆหนึ่งอาจจะก้าวหายไปจากชีวิตคุณ
อาหาร 10 อย่าง ที่ไม่ควรกินมากเกิน
โน้ส อุดมแต้พานิช
ผลงาน มีละครเรื่องแรกชื่อ ความรักของมาลัยในห้องไอซียู ได้รับบทเป็นคนแก่ในโรงพยาบาล จบจากละครก็ก้าวเข้าสู่ถนนหนังสือ ในตำแหน่งฝ่ายศิลปของไปยาลใหญ่
'คุณอุดมพาความสามารถเข้าสู่เส้นทางสายบันเทิงโดยเริ่มจากเป็นตัวประกอบในรายการวิก 07 ของ เจเอสแอล และเล่นเกมรายการจุดเดือด ทางผู้ใหญ่ในเจเอสแอลประทับใจลีลา จึงชักชวนมาร่วมงานด้วยในรายการ ยุทธการขยับเหงือก ซึ่งเป็นรายการ Comedian Show ที่มีความนิยมเป็นอันดับต้นๆ ของช่อง 5 ในยุคนั้น จึงทำให้อุดมได้แจ้งเกิดในวงการบันเทิงอย่าง เต็มตัวในชื่อ เสนาฯ โน้ส '
แต่ความจดจำเก่าๆ ที่เกี่ยวกับตัวเขา ดูจางลงไปทันที เมื่อผลงานของเขาในตอนนี้ คือการเป็น เดี่ยวมือหนึ่งของสยามประเทศ เดี่ยวไมโครโฟน หรือ Stand Up Comedy
โทษฐานที่รู้จักกัน (พิมพ์ซ้ำ 33 ครั้ง)
แบบอย่างความเท่ โน้ส อุดม แต้พานิช
ชื่อเล่น โน้ส เกิด 1 กันยายนจังหวัด ชลบุรี อาชีพ นักแสดง นักเขียน comadian สร้างงานศิลปะ
วันจันทร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2552
---10 ขนมอันตราย ---
1. ข้าวเกรียบปลาหมึก ตราอาริงาโตป้ง
2. ขนมทอดกรอบตราปูไทย ซองส้มเข้มป้ง
3. ข้าวเกรียบทอด ตราเอสบี รสพริกหยวกี่
4. ข้าวเกรียบกุ้ง ตราฮานามิ รสเม็กซิกันชิลลี่ษ
5. แป้งมันฝรั่งทอดกรอบ ตราโรลเลอร์ โคสเตอร์ รสหัวหอมทรงเครื่อง
6. แป้งข้าวโพดอบกรอบ ตราโจโต้ รสปลาหมึก
7. ข้าวเกรียบกุ้ง ตราคาลบี้ รสต้มยำรสแซบ
8. ข้าวเกรียบปลา ตรามโนห์รา
9. ข้าวเกรียบกุ้ง ตรามโนห์รา
10. ข้าวเกรียบรสมะเขือเทศ
กินไข่วันละกี่ฟองถึงจะพอดี
2. ไข่สุก-ไข่ดิบ อะไรมีประโยชน์กว่ากันเราไม่ควรกินไข่ดิบ เพราะในไข่ดิบอาจจะมีเชื้อโรค และไข่ขาวดิบยังย่อยยากอีกด้วย หากเรากินไข่ขาวดิบเข้าไป มันจะผ่านกระเพาะอาหารและลำไส้ไปโดยไม่ได้ย่อย ร่างกายก็ไม่สามารถดูดซึมสารอาหารต่างๆ ได้ หากจะกินไข่ลวกควรลวกให้ไข่ขาวสุกเสียก่อน
3. ช่องวางไข่ในตู้เย็น ทำอายุไข่สั้นเปลือกไข่มีลักษณะเป็นรูพรุนตลอดทั้งฟอง รูที่เปลือกมีขนาดเล็กมากเราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ผิวไข่ที่เราเห็นจึงดูเรียบเนียน และเพราะเปลือกมีรูพรุนทำให้ไข่สามารถดูดซึมกลิ่นต่างๆ ได้ง่าย จึงไม่นิยมเก็บไข่ไว้กับอาหารที่มีกลิ่นฉุน อย่างกะปิ น้ำปลา การเก็บไข่ควรเก็บไว้ในตู้เย็นจะเหมาะกว่าเก็บที่อุณหภูมิปกติ และควรใส่ในภาชนะแล้ววางไว้บนชั้นวางธรรมดาดีกว่าใส่ในช่องวางไข่ที่ฝาผนังตู้เย็นซึ่งจะมีอุณหภูมิที่สูงทำให้ไข่เสียเร็วกว่าที่ควร
4. เก็บไข่ควรนำด้านแหลมลงการวางไข่โดยเอาด้านแหลมลงและให้ด้านป้านอยู่บน ไข่แดงที่มีน้ำหนักเบากว่าไข่ขาว แม้จะพยายามลอยตัวขึ้นบนแต่ก็จะปะทะกับโพรงอากาศที่อยู่ทางด้านป้านไม่ปะทะกับเปลือกไข่ ไข่แดงจึงอยู่กลางใบหากเราเปลี่ยนเอาทางด้านป้านลงไข่แดงจะลอยขึ้นไปติดที่เปลือกไข่ทำให้ไข่แดงแตกง่ายเวลาตอก การเก็บไข่จึงควรนำด้านแหลมลงทุกครั้ง
5. ไข่ไม่ได้เป็นแค่อาหารไข่ขาว นำมาทำเป็นส่วนประกอบของยางบางชนิด ทำสีทาสิ่งของ ทำกาว ทำหมึกพิมพ์ ช่วยย้อมหนัง กำจัดสิวเสี้ยนไข่แดง ทำสบู่ สี แชมพู ตกแต่งหนังสัตว์ บำรุงผิวเปลือกไข่ ทำอาหารสัตว์ ปุ๋ย และนำไปทำสิ่งประดิษฐ์ได้อีกหลายสิบอย่าง
ไข่ฟองกลมๆ จะช่วยรักษารูปร่างคุณให้ดี หรือส่งผลร้ายต่อสุขภาพของคุณกันแน่ มีคําตอบมาให้แล้ว
การไม่ทานไข่ อาจส่งผลเสียต่อเส้นประสาทสมองได้ ไข่ฟองเล็กๆ หนึ่งฟอง มีปริมาณวิตามินบี 12ซึ่งจําเป็นต่อการสร้างเยื่อหุ้มป้องกันเส้นใยประสาท
นอกจากนี้ไข่ยังดีต่อสายตาคุณ โดยเมื่อไม่นานมานี้มีผลการศึกษาจากอเมริกาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Nutrition ได้ค้นพบว่า การทานไข่อย่างน้อย 3 ฟองต่อสัปดาห์จะช่วยป้องกันภาวะสูญเสียสายตาที่มักเกิดขึ้นเมื่ออายุเพิ่มขึ้นได้ เพราะสารลูทีนและซีแซนทีน ซึ่งเป็นสารรงควัตถุในตระกูลแคโรทีนอยด์ในไข่แดงจะช่วยบํารุงจอประสาทตานั่นเอง
"ไข่เจียว" ถือเป็นยาบํารุงร่างกายได้เลย เพราะนอก จากไข่จะช่วยให้ร่างกายคุณดูดซึมแคลเซียมได้ดีแล้ว ยังช่วยลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกพรุน แถมปริมาณ สารซีลีเนียมและวิตามินอีในไข่ยังช่วยป้องกันโรคหัวใจ ทั้งยังช่วยป้องกันไม่ให้คุณมีหุ่นกลมเป็นไข่อีกด้วย
ผลวิจัยจากมหาวิทยาลัยหลุยส์เซียนาสเตท พบว่า คนที่ทานมื้อเช้าโดยมีไข่เป็นส่วนประกอบ จะลดน้ำหนักได้มากกว่าคนที่ไม่ทานไข่ในมื้อเช้าได้ถึง65 เปอร์เซ็นต์ เมื่อบริโภคแคลอรี่ในปริมาณที่เท่ากัน
ตามรายงานที่ตีพิมพ์ในวารสาร American Journal of Clinical Nutrution ไข่ที่ให้ผลดีต่อร่างกาย อาจส่งผลร้าย ได้เหมือนกัน ถ้าคุณทานมากกว่า 1 ฟองต่อวัน ติดกันทุกวัน แต่ขณะที่การทานไข่สูงสุด 6 ฟองต่อสัปดาห์ไม่ได้ ทําให้มีอันตรายถึงชีวิต
ในทางตรงกันข้ามการทานไข่ 7 ฟองหรือมากกว่านั้นภายใน 1 สัปดาห์ จะไปเพิ่มปัจจัย เสี่ยงที่ก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้ 23 เปอร์เซ็นต์
วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2552
ฟังให้ดี ได้เกรด 4 ไปกว่าครึ่ง !
เราต้องสร้างความสนใจในเรื่องที่จะฟัง(ถึงแม้ว่าเรื่องนั้นมันจะไม่น่าสนใจ หรือน่าง่วงนอน) เพราะบางครั้งเรื่องที่อาจารย์พูด อาจเป็นจุดสำคํญของเนื้อหา ที่อาจเอาไปออกเป็นข้อสอบเก็บคะแนน หรืออาจจะเอามาถามตอนเราเผลอๆก็ได้นะคะ
2.เมื่อฟัง ก็ต้องฟังอย่างตั้งใจ และมีสมาธิ
เวลาอาจารย์กำลังพูดหรือธิบายอะไร ก็ต้องมีสมาธิอยู่ตรงนั้นนะคะ อย่าวอกแวกหรือจิตหลุด เกิดอาจารย์บอกแนวข้อสอบขึ้นมาแล้วไม่ได้ฟังจะเสียดายแย่ ถ้ารู้ตัวว่าจิตหลุด ให้รีบลอยกลับเข้าร่างค่ะ
3.จับใจความสำคัญของเรื่องที่ฟัง และคิดวิเคราะห์วิจารณ์เรื่องราวที่ฟัง
ต้องจับใจความให้ได้ว่า เรื่องที่ฟังเป็นเรื่องอะไร เกิดที่ไหน เรื่องเป็นอย่างไร ฯลฯ ส่วนการวิเคราะห์วิจารณ์เรื่องราวที่ฟัง คือ เรื่องมันเป็นอย่างไร อะไรเป็นสาเหตุ ผลเป็นอย่างไร เป็นต้น
วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2552
หลักสูตร "ครู" คนอยากเรียนน้อยลง
นั่นๆ เห็oหลายคนยกมือกันใหญ่ ดีใจจังที่มีคนอยากเป็นครู เพราะได้ข่าวมาจาก คม ชัด ลึก ค่ะ ว่า ตอนนี้มีคนสนใจเรียนครูกันน้อยลง เพราะหลักสูตรที่ใช้สอนกันอยู่ตอนนี้ยังไม่ปรับปรุงให้ทันยุคเท่าไหร่นัก และการสอบครูอาจจะต้องเพิ่มการสอบความถนัดของวิชาที่เรียนอีกด้วย เพื่อให้มีความรู้ทางวิชาการแน่นๆ
ซึ่งเรื่องนี้ รศ.ดร.มนตรี แย้มกสิกร คณบดีคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา กล่าวว่า ขณะนี้คณะศึกษาศาสตร์ และครุศาสตร์หลายแห่งกำลังจะตาย เพราะไม่มีคนอยากเรียน และหลักสูตรไม่มีการพัฒนา หากในระยะ 5 ปีจากนี้ การคัดเลือกคนเก่งมาเรียนครู จะใช้เพียงคะแนนความถนัดทางวิชาชีพครู หรือ แพต 5 ไม่เพียงพอ ต้องสอบความถนัดในสาขาวิชาที่เรียนด้วย เพราะผู้ที่จะไปเป็นครูที่ดีนั้น จะต้องมีความรู้ทางวิชาการอย่างเข้มข้น และมีจิตวิญญาณในความเป็นครูควบคู่กันไปด้วย
"ที่สำคัญจะต้องเปลี่ยนแปลงกระบวนการผลิตให้ครูมีความรู้ในเนื้อหาสาระที่เข้มข้นทางวิชาการที่จะสอนเด็ก ครูที่จบออกไปจะต้องมีเทคนิคการเรียนการสอนที่ดี ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย ให้ทุนการศึกษาแก่ผู้ที่จะมาเรียนครู จัดหาอัตราการทำงานรองรับ และเพิ่มผลตอบแทนให้แก่วิชาชีพครู ยกวิชาชีพครูให้เป็นวิชาชีพชั้นสูงเช่นเดียวกับแพทย์ หรือผู้พิพากษา หากทำได้คุณภาพของครูทั้งระบบจะดีขึ้น" รศ.ดร.มนตรีกล่าว
อ่านแล้วคิดถึงคุณครูขึ้นมาเลยค่ะ ยิ่งได้เห็นว่ามีคนอยากเป็นครูน้อยลง ก็ยิ่งคิดว่าคุณครูของเราคงต้องเหนื่อยไปอีกหลายปี แล้วเพื่อนหล่ะคะ มีใครอยากเป็นครูบ้างเอ่ย ถ้าได้เป็นครูแล้วอยากสอนวิชาอะไรกันบ้าง หรือใครมีประสบการณ์การสอนมาแล้ว ก็มาเล่าให้ฟังบ้างนะคะ
วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2552
เทคนิค การจำศัพท์ภาษาอังกฤษ ให้ขึ้นใจ
-นำศัพท์มาใช้บ่อย ๆ ทำให้เกิดความเคยชิน จะจำได้แม่นยำขึ้น จากนั้นลองแต่งประโยคจากคำเหล่านั้น เพื่อฝึกการเรียบเรียงประโยค
-จำศัพท์จากการออกเสียง อาทิ คำที่ออกเสียงคล้าย ๆ กัน นอกจากจะช่วยให้นึกถึงความหมายได้ง่ายแล้ว ยังได้รู้หลักการออกเสียงที่ถูกต้อง
-ท่องศัพท์ทุกวัน อย่างน้อยวันละ 10 คำ และหมั่นทบทวนบ่อย ๆ ให้คุ้นเคย หากมีโอกาสสนทนากับคนพูดภาษาอังกฤษ ควรลองนำศัพท์ไปใช้ในสถานการณ์จริง -ฝึกฟัง-อ่านภาษาอังกฤษจากข่าวหรือหนังสือต่าง ๆ แล้วสังเกตหาศัพท์ที่เคยท่อง จะช่วยให้เข้าใจเรื่องราวโดยรวมของเรื่องที่อ่านได้เร็วขึ้น
ป.ล.อย่าลืม เจอฝรั่ง เข้าไปทักทายบ่อยๆ ก็เป็นการฝึกภาษาอังกฤษอีกแบบ :)
วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
10 สุดยอด คดีฆาตกรรมโหดในประเทศไทย
อันดับที่ 8 คดีแม่ฆ่าลูกบูชาพระอินทร์ ด.ญ.ประภัสสร เจียมเจริญ อายุ 12 ปี ถูกคนในครอบครัวคือนางกาญจนา เจียมเจริญ ผู้เป็นแม่ ซึ่งอ้างว่าเป็นร่างทรงพระอินทร์ นางอนงค์ เจียมเจริญ มีศักดิ์เป็นป้า อ้างเป็นร่างทรงพระอาทิตย์ นางจรินทร์ เจียมเจริญ น้าสาว และนางบัว เจียมเจริญ ผู้เป็นยายร่วมกันฆ่า โดยใช้มีดปาดคอตายอย่างสยดสยองภายในบ้าน โดยนางกาญจนาอ้างว่าสาเหตุที่ฆ่าลูกสาวเพื่อต้องการปลดปล่อยวิญญาณไปให้พระ อินทร์ จากนั้นตำรวจได้ส่งตัวทั้งหมดไปที่สถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ เนื่องจากพบว่าทั้งหมดมีอาการทางประสาท ถือได้ว่าเป็นคดีศึกษาอีกคดีหนึ่งในไทยก็ว่าได้
อันดับที่ 7 คดีห้างทอง ธรรมวัฒนะ ปริศนา การตายของ ห้างทอง ธรรมวัฒนะ อดีต ส.ส.พรรคประชาไทย ยังคงคาใจทุกฝ่ายอยู่ในขณะนี้ว่าเป็นการฆาตกรรมหรือฆ่าตัวตาย หลังจากมีผู้พบศพนายห้างทองเสียชีวิตอยู่ในคฤหาสน์หรู สภาพนั่งอยู่บนเก้าอี้ คอแหงนไปด้านหลังมีบาดแผลลูกกระสุนเจาะทะลวงที่ศรีษระ 1 นัด โดยเสียชีวิตภายในห้องนอนของนายนพดล ธรรมวัฒนะ ผู้ที่เป็นน้องชายนั่นเอง มีการผ่าพิสูจน์ศพหาสาเหตุการตายอยู่หลายครั้ง จนกระทั่งปัจจุบัน ก็ยังไม่สามารถสรุปผลที่แท้จริงได้ จนกว่าจะมีคำสั่งของศาลเป็นที่สิ้นสุด ปัจจุบันศพก็ยังแช่เย็นอยู่ไม่ได้ถูกนำไปเผาแต่อย่างใด
อันดับที่ 6 คดีหมอผัสพร แพทย์ หญิงโรงพยาบาลรถไฟที่หายตัวไปนานร่วมเดือน นำไปสู่การสืบสวนสอบสวน น.พ.วิสุทธ์ บุญเกษมสันติ ผู้เป็นสามีซึ่งให้การปฎิเสธมาโดยตลอด จนเมื่อทีมสืบสวนเจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจค้นอาคารวิทยนิเวศน์พบคราบเลือดและ เส้นผมและหลักฐานสำคัญ ที่เป็นชิ้นส่วนของมนุษย์ในบ่อพักน้ำเสียของอาคาร ซึ่งตรงกับ DNA ของหมอผัสพร สอดคล้องกับพยานที่เห็น น.พ.วิสุทธิ์ อยู่กับหมอผัสพรเป็นคนสุดท้าย รวมถึงเรื่องการฟ้องหย่าที่มีปัญหาขัดแย้งกันมานานจนนำไปสู่มูลเหตุจูงใจฆ่า ปัจจุบันศาลได้พิพากษาให้ประหารชีวิตแล้ว แต่ยังสามารถอุทรได้อยู่
อันดับที่ 5 คดีเสริม สาครราษฎ์ นัก ศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 2 ก่อเหตุฆ่าหั่นศพ น.ส.เจนจิรา พลอยองุ่นศรีแฟนสาว โดยนายเสริมให้การว่าใช้ปืนสังหารที่ขมับ น.ส.เจนจิรา เนื่องจากตกลงกันไม่ได้เรื่องมีชายอื่นมาพัวพันหลังจากนั้นได้ใช้มีดผ่าตัด เฉือนศพเป็นชิ้นๆ ทิ้งลงชักโครก จนมีผู้พบชิ้นเนื้อมนุษย์จนนำไปสู่การพิสูจน์ DNA ก็พบว่าตรงกับเจนจิรา
อันดับที่ 4 คดีศยามล อีก หนึ่งคดีที่สร้างความสลดหดหู่ยิ่งนัก เมื่อมีผู้พบศพพยาบาลสาวถูกฆ่าโดยอำพรางศพว่าเป็นการขมขื่นและทิ้งศพไว้ในรถ โดยมีลูกสาววัย 2 ขวบ ร้องไห้กอดศพผู้เป็นแม่อยู่ทั้งคืน ซึ่งผู้ที่บงการสั่งฆ่าก็ไม่ใช่ใครอื่น นั่นก็คือสามีหมอของเธอนั่นเอง
อันดับที่ 3 คดีเชอร์รี่แอน ดันแคน เด็ก สาววัยรุ่นลูกครึ่งเชื้อชาติ ไทย-อเมริกัน ถูกพบเป็นศพหลังจากมีผู้พบเห็นว่าถูกล่อลวงขึ้นรถแท็กซี่ไปจากหน้าโรงเรียน ฆาตกรใช้สายรัดคอจนขาดอากาศหายใจและนำศพไปทิ้งไว้บริเวณป่าแสมบางสำราญ และนำไปสู่การจับผู้ต้องหาถึง 5 คน ซึ่งในเวลา 6 ปีต่อมา ศาลจึงมีคำสั่งว่าพวกเค้าทั้ง 6 คนไม่มีความผิด จนเป็นคดีที่กล่าวขานในเรื่องของการจับแพะมากที่สุดคดีหนึ่ง
อันดับที่ 2 คดีซีอุย ซีอุย แซ่ตั้ง เป็นชื่อของฆาตกรที่ฆ่าเด็กและนำตับมาต้มกินโดยมีเด็กอย่างน้อย 6 คนที่ถูกนายซีอุยสังหาร ซีอุยเป็นชาวจีนโพ้นทะเลเข้ามาในเมืองไทยและขึ้นฝั่งที่ประจวบคีรีขันธ์ ชอบจับเด็กมาผ่าและควักเอาเครื่องในมากินโดยมีความเชื่อว่าเป็นยาอายุวัฒนะ โดยได้ทำการฆ่าเด็ก 3 รายแรกที่ประจวบคีรีขันธ์ และรายสุดท้ายจับได้หลังจากคดีฆาตกรรมที่จังหวัดระยอง ซี่งสุดท้ายโดนจับขังคุกและยิงเป้าประหารชีวิต
อันดับที่ 1 คดีนวลฉวี ย้อนหลังไปเมื่อ 40 กว่าปีก่อน เกิดคดีเขย่าขวัญคนกรุง เมื่อมีผู้พบศพพยาบาลสาวถูกฆ่าข่มขืนอย่างทารุณแล้วโยนศพทิ้งน้ำ บริเวณสะพานนนทบุรีซึ่งต่อมาเป็นที่รู้จักในชื่อ สะพานนวลฉวี ซึ่งผู้ที่บงการสั่งฆ่านั่นก็คือหมออุทิศผู้ที่เป็นสามีของเธอนั่นเอง สาเหตุมาจากความหวั่นวิตกของหมอว่าเธอจะเข้าไปทำลายครอบครัวของเขา เขาก็เลยสั่งให้ฆ่าทั้งๆ ที่ยังรักเธออยู่ และแม้ว่าต่อมาหมออุทิศจะสำนึกขึ้นได้และจะยกเลิกคำสั่งนั้น แต่ก็ไม่ทันการเสียแล้ว
วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
10 วิธี ดูแลตนเองให้ห่างไกลไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009
สำหรับอาการของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่น้องๆ ชาว Dek-D.com สามารถสังเกตได้ด้วยตนเองก็คือ มีไข้สูง หนาวสั่น ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก คัดจมูก และอาจมีอาการอาเจียนหรือท้องเสียร่วมด้วย โดยในรายที่มีอาการรุนแรง จะมีอาการหายใจลำบาก หอบเหนื่อยเนื่องจากปอดอักเสบ กระทั่งอาจถึงแก่ชีวิตได้หากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงทีค่ะ
ทั้งนี้ อย่าเพิ่งวิตกกังวลกันมากเกินไปนะคะ ทางที่ดี เรามาเรียนรู้วิธีป้องกันตนเองให้ปลอดภัย ห่างไกลจากโรคไข้หวัด และโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 กันดีกว่าค่ะ โดยต่อไปนี้ คือแนวทางปฏิบัติเพื่อดูแลตนเองให้ห่างไกลโรค...
1. ล้างมือบ่อยๆ สิ่งของต่างๆ ในชีวิตประจำวันเรานั้น ล้วนเต็มไปด้วยเชื้อโรค ไม่ว่าจะเป็นลูกบิดประตู ก๊อกน้ำ ราวบันได เป็นต้น ดังนั้น เราจึงควรล้างมือกันบ่อยๆ โดยศูนย์วิจัยสุขภาพของกองทัพสหรัฐฯ ได้ทำการศึกษาโดยให้อาสาสมัครจำนวน 40,000 คน ล้างมือวันละ 5 ครั้ง พบว่า คนกลุ่มนี้ป่วยเป็นโรคทางเดินหายใจลดลงร้อยละ 45
2. พกเจลล้างมือฆ่าเชื้อติดตัว การพกเจลล้างมือติดตัวจะช่วยให้มือน้องๆ สะอาดด้วยวิธีที่ง่ายดายและสะดวกสุดๆ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม โดยขณะนี้ ทางกองควบคุมโรค สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร ได้อำนวยความสะดวกแก่ประชาชนด้วยการติดตั้งโต๊ะให้บริการเจลล้างมือไว้ตามห้างสรรพสินค้าและสถานที่สำคัญอีกด้วย น้องๆ เห็นแล้วก็อย่าลืมใช้บริการกันนะคะ
3. เปลี่ยนแปรงสีฟันทุกสามเดือน แปรงสีฟันนอกจากจะช่วยทำความสะอาดฟันของเราแล้ว ยังเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคชั้นดีอีกด้วย ทันตแพทย์จึงแนะนำให้น้องๆ หมั่นเปลี่ยนแปรงสีฟันทุกๆ 3 เดือน และหลังแปรงฟันเสร็จควรเก็บแปรงไว้ในที่อากาศถ่ายเท เพื่อให้ขนแปรงแห้งสนิทไม่เป็นแหล่งบ่มเพาะเชื้อโรค และจะดีที่สุด หากน้องๆ เปลี่ยนแปรงทุกครั้งหลังป่วยเป็นไข้หวัดเพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำค่ะ
4. อย่าโทษตนเอง น้องๆ รู้ไหมว่า... "ความเครียด" ก็เป็นต้นเหตุสำคัญของอาการป่วยเป็นไข้หวัด โดยนักวิจัยพบว่า คนที่ขาดความมั่นใจ ชอบโทษตนเอง หรือมีทัศนคติไม่ดีที่ก่อให้เกิดอาการเครียดนั้น จะส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันแย่ลง ทำให้เราป่วยง่ายขึ้นด้วย
5. ออกกำลัง การออกกำลังกายเป็นประจำจะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายเราได้มากกว่าคนที่ไม่ออกกำลังเลยถึงสามเท่า และอย่าลืมว่า... การออกกำลังกายไม่ได้ช่วยเรารอดพ้นจากอาการไข้หวัดเท่านั้นนะคะ แต่ยังสร้างถูมิคุ้มกันให้เราปลอดภัยจากโรคต่างๆ ได้อีกมากมายทีเดียว
6. กินอาหารที่มีประโยชน์และพักผ่อนเพียงพอ เรารู้ดีว่า อะไรบ้างที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเรา แต่ช่วยไม่ได้ ที่เรามักขาดความเข้มงวดกับตนเอง จึงทำให้เผลอกินของไม่มีประโยชน์อยู่บ่อยๆ ต่อไปนี้ น้องๆ ต้องมีระเบียบวินัยกับตนเอง หันมาใส่ใจเรื่องอาหารการกินให้มากขึ้น โดยเฉพาะน้องๆ ที่ไม่ชอบกินผัก มาเริ่มกันวันนี้เลยดีกว่า และที่สำคัญ น้องๆ ต้องพักผ่อนให้เพียงพอ และดื่มน้ำสะอาดมากๆ ด้วยนะคะ
7. ใช้แขนหรือกระดาษเช็ดหน้าปิดปากทุกครั้งที่ไอหรือจาม น้องๆ รู้หรือไม่ว่า "การใช้มือปิดปากหรือจมูกในขณะที่ไอหรือจามเป็นวิธีที่ผิด" นั่นเพราะว่าเชื้อโรคจะกระจายอยู่เต็มมือ (ซึ่งน้องๆ ไม่ค่อยล้างมือ) และสามารถแพร่ไปยังผู้อื่นได้ง่ายอีกด้วย วิธีที่ถูกคือ หากไม่สามารถคว้ากระดาษเช็ดหน้ามาปิดได้ทัน ให้น้องๆ งอข้อศอกขึ้นปิดปากและจมูก แน่นอนว่า... คงไม่มีใครใช้ข้อศอกถูดวงตาหรือสัมผัสมือผู้อื่นนะคะ
8. หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดกับผู้ป่วยเป็นไข้หวัด ถึงจะไม่รู้ว่าป่วยอยู่ขั้นไหนก็ตาม แต่เมื่อไรที่พบเห็นผู้ป่วยมีอาการไอ จาม น้ำมูกไหลล่ะก็ น้องๆ ควรพยายามอยู่ห่างๆ ไม่ไปคลุกคลีด้วย (ไม่ถึงขนาดรังเกียจกันนะคะ) โดยเฉพาะน้องๆ ที่ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง ติดโรคง่ายยิ่งควรต้องระวังเป็นพิเศษค่ะ
9. ไม่ควรอยู่ในสถานที่แออัด หรือที่ชุมนุมชน ตามที่ได้มีการประกาศออกมาให้ระวังสถานที่ต่างๆ เช่น ห้างสรรพสินค้า โรงภาพยนตร์ หรือแม้แต่ในโรงเรียนที่มีผู้ป่วยเป็นโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เป็นต้น ว่าควรหลีกเสี่ยงสถานที่ดังกล่าว หรือต้องมีการปิดสถานที่เพื่อทำความสะอาด ดังนั้น น้องๆ ควรระมัดระวังตนเองให้ดีนะคะ รวมทั้งใครที่ป่วยอยู่ ก็ควรหยุดพักผ่อนอยู่กับบ้าน ไม่ควรไปในสถานที่ดังกล่าวเช่นกันค่ะ
10. สวมหน้ากากอนามัย ในต่างประเทศ เรามักจะพบผู้ป่วยเป็นไข้หวัดสวมหน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรคไปยังบุคคลอื่น ทว่าในบ้านเรา... คนปกติที่ร่างกายแข็งแรง กลับต้องสวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันตนเอง ด้วยเหตุนี้ น้องๆ ที่มีอาการป่วยก็ควรรับผิดชอบต่อสังคมโดยการสวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องการการแพร่กระจายของเชื้อโรค หรือป้องกันการติดเชื้อ เมื่อจำเป็นต้องอยู่ในที่ชุมนุมชน ที่ผู้คนแออัด และอากาศถ่ายเทไม่สะดวก นอกจากนี้ กระดาษเช็ดน้ำมูก หรือน้ำลายของผู้ป่วย ก็ควรทิ้งในภาชนะที่มีฝาปิดมิดชิดด้วยนะคะ
แม้ว่าไข้หวัดจะไม่ได้อันตรายถึงชีวิต รวมทั้งไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ก็สามารถรักษาหายได้ แต่โรคเหล่านี้ นอกจากจะติดต่อกันง่ายแล้ว ยังบั่นทอนภูมิคุ้มกันร่างกายของเราอีกด้วย ทั้งยังทำให้เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนจากโรคอื่นๆ เช่น หลอดลมอักเสบ ทางเดินหายใจอักเสบ เป็นต้น ดังนั้น ใครที่สงสัยว่าจะป่วยเสียแล้ว ก็ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษา และหากน้องๆ ชาว Dek-D.com สังเกตตนเองพบว่า ป่วยเป็นไข้หวัดเฉลี่ยปีละสองครั้ง ก็นับว่ามีความเสี่ยงต่อโรคแทรกซ้อนแล้วล่ะค่ะ ด้วยเหตุนี้การป้องกันจึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยนอกจาก 10 วิธีนี้แล้ว ใครจะไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคเพิ่มเติมก็ไม่ว่ากันนะคะ
...อ่านจบแล้ว ก็อย่าลืมนำไปปฏิบัติเพื่อดูแลตนเองและคนใกล้ชิด แล้วก็อย่าลืมบอกต่อไปยังเพื่อนๆ ด้วยล่ะ ^^
วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2552
ภาพอัศจรรย์กลางวัน กับกลางคืนห่างกันนิดเดียว !!!
เครดิต :: โพส จัง ดอท คอม
วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2552
\\\ [ P I C c .. ] แม่น้ำ ... ที่สกปรกที่สุดในโลก ///
วันจันทร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2552
Pic!!ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติทางดวงดาว ที่ทำให้โลกใบนี้สวยได้ (ต่อค่ะ)
12.คลื่นเมฆ อย่าเล่นโต้คลื่นจริงๆ
13.ไร้ทิศทาง
14.ดินแดนแห่งความฝันที่เป็นจริง
15.สวนสนุก
16.ดวงดาวสีน้ำเงิน
วันพุธที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2552
Pic!!ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติทางดวงดาว ที่ทำให้โลกใบนี้สวยได้ขนาดนี้ ^^
4.สะดือของโลก
5.ถนนปุบผา
6.ถิ่นฐานความลับของ Aki Buta
7.หอยทะเล
8.ป่าที่หลงใหลอยู่ในม่านหมอก
9.งอบ(หมวก)เมฆ
10.ร่องรอยของสายลม
วันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2552
ขนมหวานที่ขึ้นชื่อของแต่ละประเทศ
ขนมหวานแบบไทยๆ ที่นำมะม่วงสุกเหลืองอร่ามมาทานคู่กับข้าวเหนียวมูนราดด้วยน้ำกะทิ ฟังแล้วชวนน้ำลายสอเป็นอย่างยิ่ง โดยได้รับความนิยมจากทั้งชาวสยามและชาวต่างชาติ ทั้งยังสามารถหาลิ้มลองได้ทั้งที่โรงแรม ห้างสรรพสินค้า ภัตตาคาร และร้านอาหารตามท้องถนนทั่ว
แม้ชื่อจะฟังดูแล้วฝรั่งเศสสุดๆ แต่อย่าเพิ่งด่วนตัดสินว่าเป็นเช่นนั้น เนื่องจากวิทยาลัยทรินิตี้ในเคมบริดจ์ได้อ้างว่าพวกเขาคือต้นตำรับผู้คิดค้นขนมสูตรเด็ดนี้ในช่วงต้นศตวรรษที่ 1600 อย่างไรก็ตาม ถึงจะมีจุดกำเนิดจากอังกฤษ แต่เชื่อแน่ว่าคงไม่มีสถานที่ใดเหมาะแก่การทานคัสตาร์ดเย็นๆ โรยด้วยน้ำตาลไหม้ ได้เท่ากับใต้หอไอเฟลที่ประดับด้วยไฟสว่างไสวในยามค่ำคืนในกรุงปารีส
เช่นเคย แม้จะฟังดูเป็นอเมริกันจ๋า แต่จริงๆ แล้วมีต้นกำเนิดจากเมืองผู้ดี โดยได้รับการคิดค้นขึ้นเมื่อปี 1381 และปกติจะอบด้วยแป้งสองชั้น ในสมัยก่อน ตอนที่ชาวอังกฤษอพยพมาตั้งรกรากในอเมริกา พวกเขาได้นำเมล็ดแอปเปิลมาปลูกด้วย จึงทำให้มันมีความเกี่ยวพันกับวัฒนธรรมของชาวมะกัน แต่ไม่ว่าจะที่โรงแรมในลอนดอนหรือภัตตาคารในแอลเอ แอปเปิลพายก็เป็นที่ถูกอกถูกใจบรรดาลูกค้าเหมือนกัน
ขนมเจลลาตินทรงกลมจากแดนอาทิตย์อุทัยมักสอดไส้ไว้ด้วยถั่วแดงหวาน (และบางครั้งก็อาจเป็นแยมสตอเบอร์รี่) โรยด้วยแป้งบางๆ โดยสามารถหาซื้อมารับประทานได้ทั้งจากกรุงโตเกียว โอซาก้า เกียวโต นากาโนะ และทุกแห่งในญี่ปุ่น
ประวัติที่แท้จริงของบาคลาวายากที่จะระบุให้แน่ชัดเพราะว่ากันว่ามันมีต้นกำเนิดจากจักรวรรดิอ็อตโตมัน ดินแดนเมโสโปเตเมีย และอาหรับ โดยขนมหวานชนิดนี้ทำขึ้นจากการนำแป้งฟิลโลมาสอดไส้ไว้ด้วยถั่ว น้ำผึ้ง หรือน้ำเชื่อม หากต้องการลิ้มลองรสชาติแบบต้นตำรับก็ต้องไปรับประทานถึงถิ่นที่อ้างว่าเป็นจุดกำเนิด ทั้งกรุงอิสตันบูล กรุงเอเธนส์ และกรุงเบรุต แม้แต่ละที่อาจจะมีรสแตกต่างกันไปบ้าง แต่ก็ยังการันตีได้ถึงความเอร็ดอร่อย